โลกนี้จะเป็นอย่างไรถ้าหากว่าข้าราชการหรือพนักงานของรัฐทำงานโดยไม่ต้องทำรายงานว่าตัวเองทำอะไรไปแล้วบ้าง และทำงานเพื่อประโยชน์ของคนรับบริการอย่างเดียว โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะตรงกับ KPI หรือจะได้รับรางวัลหรือไม่
ที่ผ่านมา พอถึงเวลาที่คณะบอกว่าต้องส่งรายงานเพื่อรับค่าตอบแทนพิเศษ หรือเพื่อรับการประเมินว่าจะได้รับการพิจารณาให้ทำงานต่อไปหรือไม่ เสียเวลาทำรายงานนานมากมากจนคิดว่า น่าจะเอาเวลานั้นไปทำงานมากกว่า แล้วก็คิดว่า ยิ่งทำมาก ก็ยิ่งมาทำรายงานนานมากอีก
ข้อมูลที่เคยกรอก ก็ต้องกรอกแล้วกรอกอีก ทำให้ได้โครงการศึกษาด้วยตนเองให้นักศึกษาปริญญาโทได้หัวข้อหนึ่งว่า ข้อมูลที่เคยกรอกลงไปในระบบ ให้ดึงออกมาใช้ได้เลย ไม่ต้องมาทำการคัดลอก (copy), วาง (paste), และตัดต่อรูปแบบของข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่แต่ละฝ่ายต้องการแตกต่างกัน
งานก็มีอยู่เยอะแยะ งานบางงานทำแล้วจะทำให้ตัวเองได้คะแนน หรือมีผลทำให้ได้รางวัล แต่งานบางงาน เช่นตรวจรายงานของโครงการนักศึกษาอย่างละเอียด เพื่อให้นักศึกษาไ้ด้ปรับปรุงการเขียนให้ถูกต้องตามภาษาไทย ใช้เวลานานมาก แต่ถ้าหากพิจารณาดูแล้ว งานในส่วนนี้ไม่ได้มีผลต่อการประเมินตนเองเท่าไหร่ ถ้าอาจารย์ทุกคนคิดแต่จะทำงานเพื่อเป็นผลดีต่อการประเมินตนเองเท่านั้น ก็คงผิดหลักของการเป็นอาจารย์ อาจารย์น่าจะทำงานเพื่อช่วยพัฒนาความรู้ ความสามารถและคุณธรรมของลูกศิษย์มากกว่า
โลกนี้จะเป็นอย่างไรถ้านักศึกษาไม่ต้องสอบ เรียนเพราะอยากรู้ ทำเพราะอยากทำเป็น ไม่ต้องมีคะแนนมาบังคับ ไม่ต้องมีการแจกใบปริญญาเมื่อเรียนจบ แต่เมื่อเรียนจบแล้ว ก็สามารถทำงานได้เลย และมีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง
ใจจริงแล้ว ก็อยากเป็นอาจารย์ที่ไม่ต้องเช็คชื่อนักศึกษาตอนเข้าเรียน แต่ถ้าไม่เช็คชื่อ นักศึกษาก็มักไม่เข้าเรียน นักศึกษาบางคนเข้าเรียนก็มาแต่กาย ใจอยู่ที่อื่น ก็ต้องพยายามถามนักศึกษา พยายามกระตุ้นให้นักศึกษาสนใจในสิ่งที่เรากำลังพูดอยู่ อยากให้นักศึกษาทำงานได้จริงตอนจบ ก็พยายามหาการบ้านหรืองานให้เขาฝึกหัดทำ เราเองก็ต้องทำให้ได้ก่อน ก็ต้องเสียเวลาศึกษา ทดลอง และแก้ไขปัญหางานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ไม่มีเฉลยในตำราหรือหนังสือใด มีแต่การค้นหาความรู้่จากอินเทอร์เน็ต และพยายามแก้ไขปัญหาหรือข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น จากการตั้งสมมุติฐานและพิจารณาแนวทางแก้ปัญหาเอง ถ้าบอกให้นักศึกษาทำ แต่ไม่ได้บอกว่า ทำไปแล้ว จะมีคะแนน ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีนักศึกษากี่คนที่ทำ ก็ต้องบอกว่ามีคะแนนนะ
โลกนี้ในยุคปัจจุบัน ความรู้และเทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว อยากให้นักศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเองได้ ไม่ใช่คอยถามเพื่อนหรือคนอื่นอย่างเดียว อยากให้เขาพึงพาตนเองได้ เขาจะรู้บ้างไหมว่า เขาควรจะฝึกฝนตนเองบ่อยๆ และเยอะๆ โลกข้างหน้าไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดถ้าเขาไม่มีทักษะในการเรียนรู้ด้วยตนเอง
เขียนตามจินตนาการแค่นี้ก่อนนะ ต้องกลับเขียนรายงานหลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อสนับสนุนการประิเมินผลการปฏิบัติงานของตนเองก่อนแล้ว ไม่ได้เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกที่บล็อกนี้ตั้งใจจะเขียนถึงเท่าไหร่ แต่ก็เกี่ยวบ้างว่าทำให้มีเวลาในการดูลูกน้อยลง โชคดีที่มีแม่ของต้อมช่วยดูลูกให้อยู่
กุมภาพันธ 1st, 2009 at 6:51 (เย็น)
อ่านด้วยความเห็นด้วยเลยจ้ะว่าความปรารถนาและความจริงบางทีก็ไม่สอดคล้องกัน..และในบางเวลาการมีมุมได้แอบฝันหรือคิดนอกกรอบบ้างก็ถือว่าได้พักใจเนาะจ๊ะ
น้องต้อมยังน่ารักเหมือนเดิมเสมอมา ทั้งความละเมียดละไมในมุมมองและความมั่นคงในตัวเอง พี่ชอบที่น้องต้อมเชิญท่านเทพไปบรรยายนะจ๊ะ ทำให้พี่คิดถึง “วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน” ขึ้นมาทันควันเลย เพราะเป็นหนังสือที่รวบรวมปาฐกถาบุคคลสำคัญๆที่ไปพูดในวันรับปริญญาของม.อเมริกา
ความเป็นครุหนักนักหนา..พี่ขอยกคำพูดที่ชอบจากโฆษณาเรื่องหนึ่งว่า “ครูอาจจะจำลูกศิษย์ไม่ได้ทุกคน..แต่ลูกศิษย์จำครูได้เสมอ” ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไร ตอนนี้อาจไม่เห็นผลในสิ่งที่เราปลูกฝัง แต่พี่เชื่อจ้ะว่า..ลูกศิษย์จำครูทุกคนของเค้าได้เสมอ ^ ^
กุมภาพันธ 1st, 2009 at 7:27 (เย็น)
ก็ฝันแบบนี้เหมือนกันครับ อิอิ
กุมภาพันธ 8th, 2009 at 11:56 (เช้า)
ผมก็ชอบทำงานโดยไม่เก็บผลงาน ผมดูเป็นเรื่องไร้สาระหากผู้บังคับบัญชาที่อยู่กับเรามองไม่เห็นว่าเราทำอะไรไปบ้าง ก็ช่างเขา ผมมีความสุขกับการที่ได้ช่วยเหลือผู้คน อธิบายในสิ่งที่เรารู้แต่เขาไม่รู้ เป็นธรรมทาน และผมไม่เคยเก็บเบอร์โทร.ของคนที่ผมเคยช่วยไว้มือถือผมเลย แต่มือถือผมจะมีคนรู้เบอร์เยอะมากเพราะไม่เคยปิดแม้เป็นวันหยุด ใช้มานานเกือบสิบปีแล้ว
แค่มีคนระลึกถึง พูดถึงสิ่งที่เราทำให้เขา ก็สุขใจแล้วครับ