ให้ทานกับกลุ่มมิจฉาชีพต้มตุ๋นหลอกลวงจะได้บุญไหมหนอ
ระหว่างที่หนีกัมมันตภาพรังสีและแผ่นดินไหวไปอยู่กรุงเทพฯ ได้มีโอกาสไปทานอาหารมังสวิรัติที่สมาคมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับตลาดจตุจักร อาหารที่นี่อร่อยและมีให้เลือกหลากหลาย ทานเสร็จแล้วก็ซื้อเสบียงใส่กระเป๋ากลับมาทานต่อที่ที่พักด้วย ระหว่างที่กำลังจะเดินออกจากร้านอาหาร ก็มีผู้ชายท่าทางบ้านนอกๆๆ ทำหน้าซีดๆ ยืนหลบอยู่ข้างกำแพงเข้ามาถามว่า
พี่ครับๆๆๆ พี่รู้ไหมว่าไปอยุธยาไปยังไงครับ
ก็เลยบอกว่าเอ ไม่รู้สิ ไปขึ้นรถที่หมอชิตมั้ง กำลังจะเดินจากมาเขาก็ถามต่ออีก
พี่ครับๆๆ ผมกับพี่สาวมาจากอีสาน มาหาพ่อที่มาทำงานก่อสร้างอยู่ที่นี่ (ที่จตุจักรกำลังมีการก่อสร้างอยู่ตอนนั้น) แต่เขาบอกว่าพ่อผมย้ายไปทำงานที่อยุธยาแล้ว ผมจะตามไปหาพ่อ แต่ว่าเงินหมดแล้ว ผมขอแค่ค่ารถตู้ไปตามหาพ่อ 50 บาทได้ไม๊ครับ
แล้วผู้หญิงที่นั่งรออยู่ข้างพุ่มไม้ก็ส่งสายตาเครือๆ น่าสงสารมาให้เรา ด้วยความเป็นคนขี้สงสาร ก็เลยควักเงินให้ไป 100 บาท ด้วยคิดว่า 50 บาทคงไม่พอค่ารถหรอก เขาทั้งสองคนก็ขอบคุณยกใหญ่แสดงสีหน้าซาบซึ้งเต็มที่ ก็คิดในใจว่าด้วยบุญนี้ขอให้เราอย่ารู้จักความยากจนและความทุกข์ยากใดๆ เลย เดินออกมาจนถึงเขตก่อสร้างแล้วซึ่งหากจากร้านอาหารประมาณ 300 เมตร ก็เจอชายหญิงอีกคู่หนึ่ง คราวนี้มีเด็กน้อยอยู่ด้วย ร้องถามเราเหมือนกันด้วยประโยคเดิมแต่เปลี่ยนไปโคราช
แม่เจ้าเว้ย…โดนเข้าแล้วไม๊ล่ะ คาดเดาด้วยปัญญาอันน้อยนิดที่มีได้ทันทีเลยว่า นี่มันทำงานกันเป็นแก๊งเลยนี่หว่า โดนหลอกแล้วตรู….. ใจนึงก็คิดจะไปแจ้งความเอาตำรวจมาจับมันเลยดีไม๊ พวกหากินบนความเมตตาของคนอื่นแบบนี้ จะไปขอเงินที่ให้เจ้าคู่แรกแล้วประกาศให้เขารู้กันทั่วจตุจักรเลยดีเปล่า แต่อีกใจก็คิดว่าช่างเถอะ ทานที่เราให้แล้วต้องสละออกจากใจ เขาหลอกเราก็เป็นวิบากของเขาเอง แต่ทานที่เราให้แล้วย่อมมีผล
แต่ก็ยังสงสัยอยู่ในใจว่าจริงๆ แล้วเราได้บุญไม๊เนี่ย
จึงได้ไปนั่งทบทวนตำรับตำราที่ร่ำเรียนมา ได้ความว่า ทานที่ให้แล้วย่อมมีผล แต่ทานที่ให้ผลมากต้องประกอบด้วยองค์ 4 คือ เจตนาบริสุทธิ์ วัตถุบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ และผู้รับบริสุทธิ์ แต่ทานของเราในครั้งนี้ประกอบด้วยองค์ 3 เท่านั้น เพราะผู้รับมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ ทานของเราจึงมีผลเปรียบดั่งการให้ทานแก่ผู้ทุศีล ซึ่งก็ยังมีผลมากกว่าการให้ทานแก่สัตว์เดรัจฉานอยู่ดี เอาเถอะนะ ได้แค่นี้ก็ยังดี คราวต่อไปเราต้องรอบคอบและไต่สวนทวนความให้มากกว่านี้ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของพวกมิจฉาชีพอีก
ส่วนผู้ที่ล่อลวงเอาเงินของเราไป อาจจะดีใจว่าเราทำกิจเยี่ยงนี้แล้วได้ทรัพย์มาเลี้ยงชีพ แต่ทรัพย์นี้ก็เป็นของร้อน เพราะได้มาด้วยทางมิชอบ ผิดทั้งศีลข้อที่ 2 (ลักทรัพย์) และ ข้อที่ 4 (มุสา) เขาเหล่านั้นจึงยังคงหลงเหลือความเป็นมนุษย์อยู่อีกแค่ 60% (ถ้าไม่เข้าใจอ่านตอน กว่าจะรู้จักมนุษยธรรม เพิ่มเติมนะคะ) คงไม่แคล้วต้องทุกข์ยากต่อไปอีกหลายภพหลายชาติทีเดียว ….
บางคนสงสัยว่า แล้วการให้ทานของเรานี้ส่งเสริมให้คนทำผิดศีลใช่หรือไม่ …
ก็ต้องดูที่เจตนาเป็นหลัก หากใครได้ดูละครอัตชีวประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี (หาดูได้ใน You tube นะคะ) จะได้ข้อคิดอีกแง่หนึ่ง เรื่องโดยย่อมีอยู่ว่า มีขโมยมาขโมยของในกุฏิของท่าน โดยคิดว่าท่านหลับไปแล้ว จึงสอดมือขึ้นมาทางช่องกระดานแล้วควานหาว่ามีของใดที่พอหยิบได้บ้าง ท่านนั่งอยู่ตรงช่องกระดานนั้นพอดี ท่านพิจารณาดูแล้วว่าเขาจะได้ไปน้อยไม่พอเลี้ยงชีพ จึงหยิบของอื่นๆ มาวางตรงช่องกระดานเพื่อให้ขโมยหยิบไปได้ง่ายๆ ขโมยก็ไม่ได้เอะใจว่าทำไมช่องกระดานนิดเดียว แต่กลับหยิบของได้หลายชิ้น ด้วยความโลภได้ของเยอะแล้วแต่ก็คิดว่ายังไม่พอ เลยเอาของใส่เรือกะจะขโมยเรือด้วย สมเด็จท่านลงมาจากกุฏิหยิบหมอนรองส่งให้ บอกกับขโมยว่าให้เอาหมอนรองไปด้วยสิ จะได้เข็นเรือได้ง่ายๆ ขโมยหันมาเห็นท่านก็เลยตกใจแบกเรือวิ่งหนีไป รุ่งเช้าขโมยสองคนนั้นมากราบขอขอมาท่านแต่ไก่โห่และบอกว่าจำเป็นต้องทำแบบนี้เพราะไม่รู้จะไปทำมาหาเลี้ยงชีพอะไร แต่เมื่อเอาทรัพย์ของสมเด็จท่านไปแล้วก็ให้ละอายใจจึงนำกลับมาคืน ท่านจึงได้มอบเงินให้ไปถุงหนึ่งเพื่อให้ขโมยนั้นได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ในทางที่ชอบ ได้ดูตอนนี้แล้วทั้งขำทั้งซาบซึ้งในความเมตตาของพระเดชพระคุณท่าน
เมื่อเห็นดังนี้ก็ให้คิดว่าหากแต่ละคนมีหนทางที่ดีกว่า ใครๆ ก็คงอยากจะทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยอาชีพที่มีเกียรติ มีคนยกย่องเชิดชู คงไม่มีใครคิดจะเป็นมิจจาชีพ ที่สังคมรังเกียจ แต่โอกาสอยู่หนใด …..แล้วเราได้ให้โอกาสพวกเขาแล้วหรือยัง...
« « Prev : 27 มีนา โอฮะอิโย นิปโปน!
Next : ยาแก้เจ็บคอแบบง่ายสุดๆ » »
6 ความคิดเห็น
ก็มีผู้ชายท่าทางบ้านนอกๆๆ ทำหน้าซีดๆ
อ่านแล้วรีบไปส่องกระจก เราหน้าซีดๆรึเปล่าวะ
อิอิ
อย่าไปสงสัยเลยครับว่าจะได้บุญหรือไม่ หรือว่าได้มากได้น้อยอย่างไร
สิ่งใดได้กระทำแล้ว ก็กระทำไปแล้ว เปลี่ยนแปลงผลไม่ได้ ถึงจะมีองค์ประกอบที่ไม่บริสุทธิ์บ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควบคุมได้
ต่อให้อานิสงส์น้อยลงจริง แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นประเด็นเลยในเวลาที่ทำไม่ใช่หรือครับ
อย่าไปกังวลเลย ทำไปแล้วจบสิ้นแล้ว ผลจะเกิดแก่ผู้กระทำ ท่านผู้ให้ด้วยจิตใจสดใสย่อมได้ ผู้รับ ร้องขอด้วยจิตที่หลอกลวงย่อมเป็นกรรมเลว ต่ำช้า ผลก็จะเกิดกับเขาเอง เราได้กระทำด้วยใจบริสุทธฺ์ จบสิ้นไปแล้ว อย่าไปกังวลให้เกิดความขุ่นมัวใดๆเลย ผู้กระทำการต่ำช้าวันหนึ่งเขาย่อมรับกรรมนั้นเอง…ผมก็เคยโดน อิอิ
อ่านคอมเมนต์ของผู้มีจิตเมตตาทั้งสามท่านแล้วอารมณ์ดีและก็ปลื้มในบุญมากยิ่งขึ้นไปอีกนะคะนี่
ไม่รู้ว่าอ่านอันนี้ได้หรือเปล่าครับ
ถ้าอ่านไม่ได้ บอกผมที จะลอกมาให้อ่าน (มันยาวครับ)
อ่านได้ค่ะ อ่านแล้วดีมากๆ เลย อารมณ์ประมาณเดียวกันเลยเนาะ ขอบคุณคุณ Logos มากๆ เลยที่แนะนำบทความดีๆ มาให้อ่านเพิ่มเติมค่ะ