ลานเบาหวานอินทรีย์

19 October 2010

ชวนมารวมกลุ่มแบ่งปันประสบการณ์เบาหวานและยิ้มให้กัน

Filed under: ไม่ได้จัดหมวดหมู่ — poonsuk @ 7:05 pm

งานพัฒนาผู้ป่วยเบาหวานนั้นคือความตั้งใจที่อยากให้เป็น ให้เกิด ด้วยแนวคิดของหลายฝ่ายมารวมกันคือ

1.ตัวผู้ป่วยเองเบาหวานเอง

2.จนท.ของโรงพยาบาลที่รับผิดชอบ

3.จิตอาสา 

เหตุเกิดจากตัวเองอยากให้เพื่อนผู้ป่วยเบาหวานลุกขึ้นมาดูแลตัวเองแบบธรรมชาติ เรียนรู้โรคที่เกิดในตัวเองอยากให้มีกิจกรรมให้ความรู้แบบไม่เอาบรรยาย ไม่เอาวิชาการมาก ไม่เอาหลักการมาก เอาแบบสบายๆ ผู้ป่วยได้รับแล้วปฏิบัติได้ มีความสุข  ก็ต้องวิ่งหาคนสนับสนุน แอบไปพบผู้ใหญ่ วันนั้นตัดสินใจว่าถ้าไม่เห็นด้วยก็จะไม่มาที่นี่อีกแล้วคนพาไปก็ลุ้นๆช่วยๆ จนเกิดเป็นการพูดคุยกันภาษาดอกไม้ เฮ้อ…..โล่งอกแล้วก็รีบเสนอแนวคิด ชุมชนพร้อมแล้วนะ ช่วยชี้แนวทางให้หน่อยสนับสนุนหน่อยอะไรปานนี้  ก็ได้คำสนับสนุน เห็นด้วยกับหลักการ เขาเชิญให้ร่วมประชุม แล้วเขาก็โมเมว่าเราเป็นแกนนำ เราก็ไม่คิดว่าที่ทำๆๆๆนะมันจะแกนนำแกนเนินอะไร ก็แค่ทำได้แล้วก็ทำๆๆๆไป แล้วก็อยากทำให้มันมากขึ้นเท่าปริมาณผู้ป่วยที่เกือบจะเป็นหมื่นแล้วที่ขึ้นทะเบียนนะแค่ 7000 กว่าเท่านั้น ไอ้ที่ยังสะเปะสะปะรักษาหมอผีก็ยังเยอะ น่าสงสาร เอ้าเป็นก็เป็นฟ๊ะ ก็กิเลสมันอยากให้เขาทำนี่  ให้หันมาดูใจคนป่วยที่มันท้อแท้ มันจะเป็นอะไรก็ช่างมัน แล้วก็ปล่อยให้กินยาๆๆๆหลอกตัวเอง  ผู้เป็นเบาหวานหลายรายก็พูดว่าฉันปลงแล้ว …นี่…มันเป็นแบบนี้ นึกในใจทำไมมันมีแต่คนยอมรับชะตากรรมที่กำลังตามมาหว่า หรือเขาปลงกันแล้ว หรือไม่รู้ว่าพฤติกรรมตัวเองนั่นแหละตัวดี แต่ความไม่รู้นี่มันมีหน้าตาแบบนี้เลย รู้แล้วๆๆๆ……กับไม่รู้จริงๆ แล้วก็รู้เหมือนกัน แต่คิดว่า……ที่พูดนี่ไม่ได้ไปต่อต้านหมอยา เภสัชนะ พูดตามความจริง เอะอะอะไรก็ให้กินยาๆๆๆ คนเป็นเบาหวานก็ยังมีพฤติกรรมการบริโภคเหมือนเดิม    เพราะเข้าใจว่า กินยาแล้วเบาหวานลด ลดคือหาย นี่คือเขาเข้าใจผิด  หันมาดูตัวเลขนี่..ทุเรศเลย ทำไมคนเป็นเบาหวานของรพ.บ้านเรามันเพิ่มขึ้น  แอบไปเสนอหน้าเวลาเขาทำงานดูแลคนป่วยเบาหวาน เขาก็เอาใจใส่ดีนี่ ตัวเองตั้งแต่หมอตรวจเจอน้ำตาลก็ก้มหน้าก้มตายอมรับแต่สู้นะ เพราะไม่อยากกินยา ก็หันมาสำรวจตัวเองนี่มันกินไม่รู้เรื่องเลย กินสักแต่ว่ากิน รู้แต่อร่อยไม่รู้อย่างอื่น อย่างที่มันแฝงมาในอาหารนะ  ออกกำลังกายก็ไม่ชอบ ชอบสบายๆ จิตใจก็ว้าวุ่น บ้างาน ทำไปก็ไม่เห็นมันจะได้ดีอะไรกับตัวเอง แต่อย่างว่าแหละถึงไม่มีผลก็ยังทำ ไม่ทำได้ไงลูกชาวบ้านเขามาฝากให้อบรมสั่งสอน ให้รู้วิชา ทิ้งได้ไงเขาอุตส่าห์ไว้วางใจยกให้ครูนะ แล้วก็ทิ้งไม่ดูแล ไม่อบรมสั่งสอน มีเรื่องอะไรขึ้นมาให้งามหน้าก็บอกว่าแล้วแต่ครูนะ ฉันยกให้ครูแล้วนิ  ก็ยังบ้ากับความอยาก  อยากให้มันเก่ง มันรู้เรื่อง มันจะมีจะจนก็เข้าไปยุ่งหมด แล้วก็เก็บมาทุกข์ใจ นี่ไม่รู้จักวาง ก็รู้นะ แต่ทำไม่ได้

การที่ควบคุมเบาหวานได้เหมือนคนปกติ โดยไม่กินยานี่เริ่มจากพ่อบ้านก่อนพูดกรอกหูทุกวัน จะพูดทำไมนะ….ทุกวันๆนี่ก็รู้อยู่ แต่มันทำไม่ได้ แปลว่าไม่เข้มแข็งไง ก็ยอมรับนะ แล้วก็ยอมทำตามที่เขาบอก เขาพาไปว่ายน้ำ จากลูกไก่กลายเป็นลูกเป็ด ไปซื้อชุดสวยๆแพงๆให้ ไม่ใช่อะไรหรอกชุดว่ายน้ำดีๆนะมันจับไขมันที่พุงแอบไว้ได้ ว่ายไปว่ายมา 1 ปีเต็มเห็นผลเลย นึกจะลงแข่งขันกีฬาว่ายน้ำแบบตีกรรเชียงเหมือนกัน แต่ติดที่เขาไม่มีรายการแข่งเฉพาะท่ากรรเชียง ว่ายไปได้ปีก็บรรจบลมหนาวมาก็หยุดบ้างมันหนาวนะตอนลงไปแล้วนี่พอไหว แต่ก่อนลงนี่ต้องใช้กำลังใจมากๆ อีกอย่างที่เป็นอุปสรรคคือตะคริว มันจับจนแข็งปวดทรมาน ไม่เฉพาะในสระว่ายน้ำเท่านั้นมันยังแอบมาจับขณะนอนหลับอีกทรมานไม่ต้องหลับต้องนอนกัน  ก็เป็นเหตุให้ต้องสวมถุงเท้านอนจนบัดนี้ แล้วหันมาวิ่งแทน ก็ทำแค่ 3 อ.เท่านั้นแหละ แต่อาหารนี่เน้นธรรมชาติพวกพืชนะ ธรรมชาติพวกเนื้อสัตว์ก็ลดละลงไป น่านๆจะกินสักที พืชสมุนไพรนี่กินได้หลายอย่างเลย มะเขือพวงไม่เคยกินก็กินได้ ก็แค่บอกตัวเองว่ากินรักษา ใบไม้ทั้งหลายก็หัดเอามากินเลียนแบบวัว ก็ไม่อยากกินยา และไม่เคยกินยาเบาหวานเลย ไม่สนใจด้วยว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร แต่อินซูลินเคยเห็น เคยทดลองฉีดไปจี๊ดหนึ่งเพราะหมอให้ลองฉีดตอนไปอยู่ค่ายเบาหวาน ยิ่งกลัวหนักไปอีกถ้าต้องถึงขั้นฉีดอินซูลินด้วยตัวเอง คนที่บ้านก็พยายามหาข่าว เรียกว่าช่างหาความทุกข์จากเบาหวานของผู้อื่นมาเล่าให้ฟัง ครั้งหลังสุดนี่ใกล้ตัวเขาคือลูกศิษย์สาวน่ารักป่วยเบาหวานเล่นงานหนัก มาเรียนหนังสือทุกวันพอเพลียๆจะแย่ๆ ก็เอาอินซูลินขึ้นมาฉีดให้ตัวเอง หมอเขาให้ฉีดเอง วันละ 2 ครั้ง ตอนนี้สบายแล้ว ก็จากโลกนี้ไปแล้ว  ก็ยิ่งกลัว กลัวต้องทรมานแบบฟอกไต ก็เห็นมาเห็นคุณพ่อ คุณอา เห็นแล้วมันเวทนา ปวดหัวใจที่สุดเลยที่เล่ามานี่เป็นแรงขับนะ ขับจนทำงานช่วยผู้ป่วยเบาหวานชวนให้หันมาดูแลตัวเองกินผักที่ปลูกเอง กินผักสมุนไพรรู้จักกินเพื่อสุขภาพตัวเอง จะได้ไม่ต้องเฉียดเบาหวาน เพราะถ้าเฉียดๆดีไม่ดีหมอให้กินยา บางคนหมดอาลัยด้วยโรคแทรกซ้อน ยิ่งบางคนน้ำตาลลดนี่อันตรายกว่าน้ำตาลเยอะนะเผลออาจเจอภาวะไตวายได้ ถ้าช่วยไม่ทันนี่อันตรายไม่ได้บอกลาใครให้เป็นเรื่องเป็นราว

งานที่ทำตอนนี้มันเป็นพลัง พลังจากการชวนผู้ป่วยมารับความรู้ ให้มีความสุข มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เป็น ก็เบาหวานนะมันคงเหมือนกันแต่คนมันไม่เหมือนกันนะ  เวลามันเป็นขึ้นมามันก็มีทั้งเออ..เหมือนกัน คล้ายกัน ของฉันไม่เหมือนใคร อะไรทำนองนี้…เขาได้รับสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นระหว่างเข้าร่วมกิจกรรมเขามีความสุข เขาก็พอใจ เขาพอใจมันก็ส่งผลให้เรามีพลังที่จะดำเนินการต่อ  พอได้ดำเนินการต่อมันก็ได้ต่อยอดความรู้ให้ผู้ป่วย แล้วให้ลองเอาไปปฏิบัติ ๆแล้วกลับมาเล่ามาแชร์ประสบการณ์กัน มันก็หลากหลาย หลาย คน ฟังก็สนุกด้วย สะท้อนให้เห็นการเกิด การดับของอาการเบาหวานของแต่ละคนว่ามันเกิดเพราะเหตุใด จะลดมันนะได้ แต่จะให้มันหายไปจากตัวคนเป็นนะยังไม่มีใครทำได้ สิ่งที่เราจะดำรงชีวิตอยู่กับเบาหวานอย่างมีความสุขนั้นก็เพียงปฏิบัติ 3 อ. และรักษามันให้สงบไม่พลุ่งพล่านโลดโผนจะเผลอให้เกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นมาก็เท่านั้นเอง ตอนนี้ชวนๆๆกันมาเริ่มจะออกลูกออกหลานแล้ว เริ่มงงแล้ว จะจัดการอย่างไรต่อไปก็คงต้องใช้พลังกายใจ พลังเสริมใยเหล็ก ความจริงใจของรัฐที่จะช่วยให้เบาหวานมันลดลงไป หรือไม่อย่างเลวร้ายที่สุดก็ให้มันคงอยู่อย่างนี้ ..คงยากแน่ก็เตรียมงบไว้เยอะๆเพื่อฟอกไต รัฐเขาก็ออกปากแล้วนี่ว่าฟอกไตฟรีทุกคน ….

21 September 2010

ลานเบาหวาน:สุขแบบไม่หวาน

Filed under: ไม่ได้จัดหมวดหมู่ — poonsuk @ 9:14 pm

เบาหวาน:สุขแบบไม่หวานของผู้ป่วยคนหนึ่ง ที่มีความพยายามจะเอาชนะโรคเบาหวานที่ตรวจพบโดยบังเอิญ และจากความพยายามของทีมงานเบาหวาน โรงพยาบาลสมุทรสาคร โดยนายแพทย์กรภัทร มยุระสาคร จึงได้จัดโปรแกรมการควบคุมน้ำตาลให้ผู้ป่วยเบาหวาน โดยให้ความรู้ ในเรื่อง 3 อ. ในภาคปฏิบัติ จนกลายเป็นความเคยชิน ก่อเกิดเป็นความรู้และมีสัญญาใจกับตัวเองว่าจะรักษาและดูแลเบาหวาน ด้วยวิธี 3 อ.ซึ่งได้แก่ อ1:การปรับพฤติกรรมการกิน ให้พอเหมาะพอควรกับสภาพร่างกายตนเองอย่างพอเพียง อ2: คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และอ.3 : การปรับอารมณ์ให้มีความสุข จิตใจแจ่มใส มีสติ และสามารถดูแลตนเองได้ด้วยความเข้าใจ รับรู้ ยอมรับ สิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกาย ค่อยๆแก้ไข ค่อยๆปรับสมดุลของร่างกาย และจิต ให้สอดคล้องกัน แล้วนำพาชีวิตสู่สัมมาทิฐิ  ด้วยความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องของเหตุแห่งปัญหา รับรู้ และยอมรับความผิดพลาดของการดำรงชีวิต ในเรื่องพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตัวเอง รับรู้ และทำความเข้าใจอย่างเห็นชอบ ปฏิบัติชอบ ที่จะอยู่กับเบาหวานได้อย่างมีความสุข การให้ความรู้เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถสังเกตอาการผิดปกติของตนได้เช่น เมื่อน้ำตาลในเลือดสูงผู้ป่วยจะมีปฏิกริยาทางร่างกายอย่างไร รวมทั้งผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำตาลต่ำกว่าปกติ และมีสภาพจิตใจที่อ่อนแอ จึงเป็นบทบาทหน้าที่ของผู้ให้การรักษา ป้องกัน แต่กระนั้นการดูแลรักษาชีวิตของตนเองให้ปลอดภัยจากโรคภัยอุปสรรค์ทั้งปวงที่มีผลต่อการดำรงชีวิตให้เป็นสุขนั้นจึงควรเป็นหน้าที่ของแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบต่อความผิดปกติที่เกิดขึ้นในตัวเอง มิใช่เป็นหน้าที่ที่จะให้การรักษาของแพทย์เพียงอย่างเดียว

จากคำแนะนำ และการเรียนรู้ทำความเข้าใจในสิ่งที่ทำให้ร่างกายผิดปกติ ไม่ธรรมดาแล้วเลือกวิธีการที่เหมาะสมเพื่อที่จะสามารถนำพาตัวเองให้ปฏิบัติภาระกิจ 3 อ.นี้ได้ ผู้ปฏิบัติจึงต้องมีวินัย มีความเห็นชอบ และตระหนักรู้ด้วยตนเอง รอมรับ และน้อมนำสิ่งดีงามมาปฏิบัติ อย่างสมำเสมอ ไม่ท้อถอย แต่มุ่งมั่น ไม่ยอมแพ้ แต่อดทน ก่อเกิดเป็นความเคยชิน และกลายเป็นนิสัยที่ดี สิ่งสำคัญก็คือเมื่อจิตใจอ่อนแอ และยอมจำนนกับเบาหวานแล้ว

หนทางที่อยู่ข้างหน้าคือการมีชีวิตอยู่ด้วยความทุกข์กาย และทุกใจ แม้อาจมีใครบางคนปฏิเสธว่าความทุกข์อันเกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือเบาหวานนั้น ไม่ทำให้เขาทุขทรมาน แต่ความทุกข์ที่กัดกร่อนจิตใจ และร่างกายอย่างเงียบๆนั่นต่างหาก ที่จะทำให้ชีวิตเศร้าหมอง ขาดโอกาสที่จะทำสิ่งดีๆเพื่อวันข้างหน้า เพื่อทุกข์ทรมาน ทั้งร่างกาย และการเสียทรัพย์เพื่อการรักษาชีวิตให้พ้นทุกข์นั้นไม่ต่างอะไรกับคนตาบอดที่พยายามแต่งหน้าตัวเองให้มีสีสรรขึ้นมา

ความผิดพลาดที่เกิดจากความหลงนั้นเป็นเรื่องยากที่ไม่ยาก หากผู้ป่วยตัดสินใจเดินทางกลับมาหาธรรมชาติ มาสู่ชีวิตที่พอเพียง สร้างสมภูมิธรรมให้มี ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง วันละเล็กวันละน้อย นานๆเข้า สิ่งที่สะสมจะกลายเป็นความเข้มแข็ง แข็งแรง และพร้อมที่จะนำพาสิ่งดีงามที่เกิดขึ้นทั้งกายและจิตของตนไปบอกกล่าว เล่าขาน เรื่องดีๆที่เกิดจากการนำความรู้ไปใช้ฝึกปฏิบัติ และเกิดผลดีตามมาอย่างถาวร หรืออย่างน้อยก็ชลอให้ภาวะของโรคเบาหวานไม่ทำให้เกิดความทุกข์ใจกับสังขารที่ไม่เที่ยงนี้ได้ และยังช่วยชลออาการแทรกซ้อนอันได้แก่ ความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคไต  โรคหลอดเลือดตีบ ที่จะตามมา  แบบนี้แหละคือหนทางเอาชนะเบาหวาน และยืดอายุตัวเองก่อนจะสายเกินแก้ไข และก่อนที่จะต้องหันไปพึ่งยาให้มาทำหน้าที่จัดการร่างกายที่เสียดุลจนเกิดผลข้างเคียงตามมา และในท้ายที่สุด ก็จะเกิดความสิ้นเปลืองในการรักษาชีวิตให้พ้นจากอาการของโรคจนกว่าจะจากโลกนี้ไป  ลองกลับไปหาธรรมชาติ ด้วยการตรวจเช็คร่างกาย และเข้าร่วมกิจกรรมคัดกรองผู้ป่วยเพื่อค้นหาภาวะน้ำตาลในเลือด และเพื่อให้ได้ทราบสัญญาณเตือน  จึงเป็นหนทางที่ดีที่ให้โอกาสเราได้วางแผนใช้ชีวิตให้สอคคล้องกับธรรมชาติ  การตรวจพบความผิดปกติเร็วเท่าไรยิ่งส่งดีต่อการดูแลชีวิตให้พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บได้เร็วเท่านั้น

Powered by WordPress