บทเรียนนอกตำรา

3 ความคิดเห็น โดย noina เมื่อ 16 December 2010 เวลา 9:30 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1902



ปฏิบัติการพิสูจน์ความจริงครั้งนี้ เริ่มต้นในเย็นวันแรกที่ไปถึง ได้รู้จักบรรดามิตรรักแฟนเพลงชาวเฮฮาศาสตร์ เพิ่มเติม ทั้งหมอเจ๊ผู้มากประสบการณ์การเรียนโลก ครูปูครูพันธ์ก๊ากที่รักของลูกศิษย์ พี่ราณีผู้ใจดีและรักสุขภาพ ครูสุคนสวยผู้เสียสละนั่งสนทนามาด้วยตลอดทาง นอกจากนี้ยังได้รู้จัก อาจารย์หมอน้อย (ชื่อนี้คนนิยม JJJ) อาจารย์หมอป่วนตัวจริงเสียจริง คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จากวิทยาลัยแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พอมาถึงสวนป่าก็ฝากเนื้อฝาก ตัวพอเป็นพิธี เพื่อสร้างความคุ้นเคยกัน

บทเรียนบทที่แรกของการมาสวนป่าครั้งนี้ได้แก่ การดวลรับประทานสะเดาน้ำปลาหวาน (แค่บทที่หนึ่งก็ยากแล้ว L) ไม่อยากจะสารภาพเลยว่าการรับประทานสะเดาครั้งนี้เป็นครั้งแรก ด้วยเหตุที่ไม่เคยคิดจะพิศวาสรสชาติขมของสะเดาเลย แต่ทำไงได้ล่ะ ไหนๆก็มาถึงที่แล้วหลับหูหลับตารับประทานกะเขาไปก่อน คิดเสียว่าสงสารกระเพาะอาหารละกัน แหม..มองใคร ๆ ก็ตั้งหน้าตั้งตาหม่ำสะเดายังกะขนมหวาน จะมีก็แต่นักศึกษาแพทย์และตัวเรากระมังที่พยายามสุดๆ ครั้งนี้ สะเดามีรสชาติขม ก็จริงแต่พอรับประทานกับน้ำปลาหวานมันช่างกลมกล่อมแบบลงตัว อืมมม.อร่อยดีเหมือนกันนี่นา มองหน้าครูปูดูช่าง enjoy eating ซะจนสะเดาตรงหน้าหมดไปทั้งจาน มองดูนักศึกษาแพทย์บางคนช่างมีน้ำใจเสียเหลือเกินที่อุตส่าห์เอื้อเฟื้อจานสะเดาและน้ำปลาหวานให้กับสตรีและคนชรา (JJJ)
หลังอาหารมื้อค่ำที่อิ่มหนำสำราญ บทเรียนบทที่ 2 ก็เริ่มขึ้น เป็นการพบปะพูดคุยและทำความรู้จักกัน สังเกตดูหน้าตาน้องนักศึกษาแต่ละคนยังดูกังวลเล็กน้อย แต่พอได้พูดคุยกันจึงเข้าใจเพราะมีนักศึกษาคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า กังวลที่จะได้มาปฏิบัติธรรมที่สวนป่า เพราะเข้าใจว่ามีพระอาจารย์ชื่อ “ครูบาสุทธินันท์” (JJJ) อีกหลายคนวิตกกังวลเรื่องที่จะสอบในวันจันทร์หน้า วงสนทนาค่ำคืนนี้ยังดูกร่อยๆ เพราะแต่ละคนยังไม่พร้อม และไม่ปล่อยวางความรู้สึกของตนเอง

วันที่ 2 สมาชิกชาวเฮฮาศาสตร์เดินทางมาเพิ่มอีก 1 คน คือ พี่อิงสาวสิบล้อผู้มากด้วยความกล้าเดินทางมากับความมืด (JJJ) เช้าวันนี้เริ่มบทเรียนบทที่ 3 โดยครูบาได้นำคณะนักศึกษาทัศนาสวนป่าที่รื่นรมย์ เล่าความเป็นมาของสวนป่าพอสังเขป กว่าจะมาเป็นสวนป่าแห่งนี้ในปัจจุบันได้ต้องใช้เวลานานหลายปี ชีวิตของครูบาเรียนรู้ด้วยวิธีการลองผิดลองถูก เรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรง ความผิดพลาดหลายครั้งจากการปลูกต้นไม้ และเผาถ่าน บทเรียนที่ได้สอนให้คิดหาวิธีการต่างๆ ที่แตกต่างออกไป ผลที่ได้คือความภาคภูมิใจในสวนป่าแห่งนี้ ครูบาสามารถบอกวันเดือนปีเกิดของต้นไม้ในสวนป่าได้แทบทุกต้น การเดินชมสวนป่าทำให้ได้รู้จักกับ “ต้นพระเอก” ของยางนา “ต้นนางเอก” ของสะเดา เหตุของการได้รับฉายานี้เพราะมีลำต้นตรง สูงใหญ่ ไม่มีกิ่งก้านที่แตกแขนงแยกย่อยให้ยุ่งเหยิง ครูบาเล่าให้ฟังว่าต้นไม้ทุกต้นโตไม่เท่ากัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 20 ปี ต้นไม้ทุกต้นจะมีขนาดใกล้เคียงกัน ต้นไม้ในสวนป่ามีมากมายหลายพันธุ์ ระยะห่างระหว่างต้นที่ใกล้กันส่งผลให้ต้นไม้แต่ละต้นแข่งขันด้านความสูงเพื่อรับแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของการสังเคราะห์แสง ไม่ต่างอะไรกับคนเราที่มีการแข่งขันเพื่อการดำรงชีวิต ต้นไม้มีการปรับตัวในการเจริญเติบโตในสวนป่าเช่นเดียวกับคนเราที่มีการปรับตัวในสังคม

บทเรียนที่ 4 เริ่มต้นหลังจากรับประทานอาหารมื้อเช้า นักศึกษาได้ถูกจัดกลุ่มใหม่โดยแยกออกเป็น 2 กลุ่ม และเรียนรู้ชีวิตผ่านการสะท้อนมองดูตัวเองโดยมีกิจกรรมเป็นสื่อการเรียนรู้ กิจกรรมทิ้งไพ่ เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักศึกษาเรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจคนอื่นด้วยเหตุผล เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันโดยไม่คิดตัดสินคนอื่นจากสิ่งที่มองเห็น ซึ่งนักศึกษาหลายคนประทับใจกิจกรรมนี้มาก ส่วนอีกด้านหนึ่งจัดกิจกรรมพักสมอง โดยให้นอนฟังเพลงจนเผลอหลับไป หลักการของกิจกรรมนี้เป็นการเตรียมความพร้อมของสมองให้พร้อมบันทึกข้อมูลต่างๆ การพักสมองโดยการนอนหลับเปรียบดั่งการ reset หน่วยความจำให้ว่างสำหรับเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ นักศึกษาหลายคนชอบกิจกรรมนี้อย่างลึกซึ้ง สังเกตจากการหลับลึก(ลึกซึ้งซะจนปลุกไม่ตื่น JJJ)

บทเรียนที่ 5 เฮฮากับเมนูอาหารมื้อเย็น นักศึกษาหลายคนตื่นเต้นกับบทเรียนบทนี้ เพราะเป็นการทำอาหารมื้อแรกในชีวิต ทุกคนร่วมแรงแข็งขันในการสวมบทครูกุ๊ก เมนูมื้อนี้ประกอบด้วย น้ำพริกกะปิตะลิงปิง ผัดผักบุ้งไฟแดง ต้มจืดฟักกระดูกหมู และไข่เจียวพิสดาร ผลจากความสามัคคีครั้งนี้ส่งผลให้รสชาติอาหารเป็นที่ถูกอกถูกใจใครหลายๆ คน ความอิ่มอร่อยของอาหารไม่เทียบเท่าได้กับความอิ่มอกอิ่มใจของบรรดาผู้มีส่วนร่วมทั้งหลาย บางคนถึงกับแสดงตนถึงการมีส่วนร่วมเมื่อพบว่า ไข่เจียวพิสดารนั้นหมดเกลี้ยงทุกจาน “ฝีมือหนูตอกไข่เองค่ะอาจารย์”

เช้าวันที่ 3 ร่วมสรุปบทเรียนจากการเรียนรู้นอกห้องเรียนทั้งหมด นักศึกษาทุกคนได้ถ่ายทอดออกมาเป็นเสียงเล็กๆ ของตนเองด้วยความภูมิใจ สีหน้าและแววตาในวันนี้ช่างแตกต่างจากวันแรกที่มา แววตาในวันนี้บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ มีประกายไฟแห่งความมุ่งหวัง จึงมั่นใจได้ว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าบรรดาคุณหมอตัวน้อยๆในวันนี้จะเป็นกำลังสำคัญที่จะดูแลและส่งเสริมสุขภาพของผู้คนสี่จังหวัดอีสานตอนใต้ให้มีสุขภาวะที่ดีขึ้นจากวันนี้อย่างแน่นอน ……..


 


บันทึกของคนใจง่าย

9 ความคิดเห็น โดย noina เมื่อ 16 December 2010 เวลา 1:17 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2917

เหตุเกิดจากความบังเอิญหรือเพราะพรหมลิขิตก็ไม่อาจทราบได้ ที่ทำให้คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ได้มารู้จักพูดคุยกัน แม้จะเป็นแค่ในโลกเสมือนผ่านการสนทนาทาง MSN และ Face book

แต่การสนทนาอย่างออกรสออกชาตินำมาซึ่งความคุ้นเคยกันดั่งญาติสนิทมิตรสหาย อาจจะเป็นเพราะพื้นฐานเป็นคนชอบเฮฮา สนุกสนาน ชอบกวนคนอื่นให้มีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะและมีความสุข แต่ไม่ถึงขั้น กวน มีน โฮ แต่อย่างใด เป็นได้แค่ กวน มึน ฮา เท่านั้นเอง (กวนนิดๆ ทิ้งเวลาคิดพอมึนๆ และสุดท้ายก็จะเกิดอาการฮาและขำภายในเวลาไม่นานนัก ถ้าใครที่เส้นประสาทรับความขำอยู่ตื้นก็จะปล่อยก๊ากกก แบบเฉียบพลัน แต่ในคนที่เส้นประสาทเส้นนี้อยู่ลึกนิดนึงก็จะขำแบบค่อยๆเป็น ค่อยๆ ไป)

ด้วยความประทับใจในคารมคมคายของคุณหมอจอมป่วน อาจารย์พยาบาลกวนมึนฮา ก็เลยเกิดความสนใจ ใคร่อยากจะรู้จักกลุ่มเฮฮาศาสตร์ ขึ้นมาในทันใด คนกลุ่มนี้เป็นฉันท์ใดหนอ คงจะมีแต่คนอารมณ์ดีเป็นที่ตั้ง และคงเป็นกลุ่มของคนที่มองโลกในแง่ดี มีความเฮฮาสนุกสนาน ปฏิบัติการชักจูงใจจึงเกิดขึ้น (ขอย้ำชักจูงใจไม่ใช่..จมูก อิอิอิ )

ไอ้เราเองก็เป็นคนประเภท อยากรู้อยากเห็นไม่ใช่สอดรู้สอดเห็นนะ เพราะคนละความหมายกัน ตามประสานิสัยส่วนตัวเป็นคนไม่เรื่องมากใครเขาชวนไปไหน ถ้าสนใจมาก ๆ ไปได้ก็ไปกัน (ไม่แน่ใจว่าความหมายจะใกล้เคียงคำว่าใจง่าย รึเปล่านะ อิอิอิ) การเข้าร่วมเป็นสมาชิกอย่างไม่เป็นทางการก็เริ่มต้นขึ้น

สิ่งแรกที่อยากเรียนรู้ร่วมกับกลุ่มเฮฮาศาสตร์ คือปฏิบัติการพิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง โบราณว่าไว้ ตาเห็นไม่เท่ามือคลำ แต่เรามีทั้งตาและมือจึงอยากจะเห็นและคลำไปพร้อม ๆ กัน เมื่อคุณหมอจอมป่วนเชิญชวนให้ไปเยี่ยมชมสวนป่าท่านครูบาสุทธินันท์ ในระหว่างวัน 10-12 ธันวาคม 2553 เพราะมีกิจกรรมน่าสนใจ เมื่อได้รับคำท้า อ้อไม่ใช่ คำเชิญ คนใจกล้าอย่างเราจึงตอบตกลง นี่คือที่มาที่ไปของฉายา “ใจง่าย” ที่ถูกยัดเยียดให้จากสมาชิกชาวสวนป่าครั้งนี้

ตอนแรกวางแผนว่าจะไปพร้อมกับคณะคุณหมอจอมป่วนและคณะที่มาจากจังหวัดพิษณุโลก แต่ได้รับแจ้งถึงภารกิจที่ต้องไปประชุมวิชาการประจำปี ของ สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา ระหว่างวันที่ 13-15 ธันวาคม 2553 โดยต้องเดินทางวันที่ 12 ธันวาคม จึงขอขับรถมาที่สวนป่า อำเภอสตึกเอง โดยได้รับความอนุเคราะห์จากครูสุคนสวยที่อุตส่าห์เสียสละมาเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้ เพราะกลัวจะเหงาและกลัวจะง่วงครั้นจะนั่งมาคนเดียว การเดินทางสนุกสนานเพราะมีการสนทนากันมาตลอดทาง และได้ทำความรู้จักความเป็นมาของชาวเฮฮาศาสตร์ผ่านคำบอกเล่าของครูสุนั่นเอง ทำให้คิดว่าประสบการณ์ที่จะได้รับต่อไปนี้จากความใจง่ายของตัวเองครั้งนี้คงจะไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

การเดินทางมาอำเภอสตึกครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่นับไม่ถ้วน เพราะมาบ่อยมาก มีญาติอยู่ที่อำเภอสตึกก็หลายคน แต่เหตุใดเลยข้าพเจ้าจึงไม่เคยรู้จักสวนป่าครูบาสุทธินันท์ เคยได้ยินแค่เพียงชื่อเสียงเรียงนามของท่านเท่านั้นเอง เรานี่ใกล้เกลือแต่กลับกินด่างแท้ๆ

การเดินทางไปสวนป่าทำให้เกิดอาการตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะต้องลุ้นตลอดทางว่าข้างหน้าจะตกหลุมเล็กหรือหลุมใหญ่ เอ..นี่มันทางไปสวนป่ารึพื้นผิวบนดวงจันทร์กันแน่ หลุมเล็กหลุมใหญ่บนท้องถนนส่งผลต้องให้คนขับมีสติและสายตาที่กว้างไกล หลุมเล็กอยู่ข้างซ้าย หลุมใหญ่อยู่ข้างขวา เอ ตกลงจะเสี่ยงตกหลุมไหนดีเนี่ย ????? การเจ็บก้นครั้งแล้วครั้งเล่าจากแรงกระแทกของการตกหลุม สอนให้เรารู้จังหวะของขับรถอย่างระวัง เฉกเช่นเดียวกับการใช้ชีวิตเราต้องรู้จักจังหวะของมันจึงจะทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่น การเดินทางครั้งนี้สอนให้รู้ว่า การจะไปสู่จุดหมายอะไรก็ตาม เส้นทางที่เราเดินไปอาจจะไม่ได้สวยสดงดงามไปตลอดของถนนสายนั้น อุปสรรคในระหว่างทางอาจมีอยู่รายรอบ เราต้องอาศัยความกล้า เชื่อมั่นและอดทนที่จะเผชิญกับมัน หากเราล้มเลิกความตั้งใจเพียงแค่เจออุปสรรคหรือปัญหาเพียงเล็กน้อย เราอาจจะพลาดในสิ่งที่สวยงามที่เราคาดหวังและคงไม่มีเรื่องเล่าระหว่างทางที่จะเก็บเอามาเป็นประสบการณ์ชีวิตและถ่ายทอดบทเรียนสู่คนอื่น

ในที่สุดก็ขับรถมาถึงทางเข้ามหาชีวาลัยอิสาน เจอรถบัสมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีที่พยายามจะเลี้ยวเข้าสวนป่าแต่ด้วยทางที่แคบมากและถนนเป็นดินทรายล้วนๆ ทำให้ยากลำบากในการขับรถคันใหญ่เข้ามา นักศึกษาทั้งหลายจึงตัดสินใจทยอยเดินกันเข้ามาที่สวนป่าเอง บรรยากาศของสวนป่าช่างร่มรื่นเสียจริง มีต้นไม้นานาพันธุ์ เต็มไปหมด

บอกไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง รู้แต่ว่าหลากหลายละรื่นรมย์ สายลมเย็นๆ พัดมากระทบผิวกายแผ่วๆ ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ลืมอาการเจ็บก้นกระแทกเมื่อครู่ไปหมดสิ้น ไม่อยากจะเชื่อว่าสวนป่าที่เคยได้ยินแต่ชื่อจะน่าอยู่ได้เพียงนี้

เหมือนหลุดออกมาอยู่อีกโลกหนึ่ง โลกแห่งสีเขียว มองไปทางใดมีแต่ต้นไม้ ถ้าที่ทำงานร่มรื่นน่าอยู่แบบนี้ เราคงไม่จำเป็นต้องเงินเสียค่าแอร์เดือนละหลายร้อยบาท ไม่จำเป็นต้องทาครีมกันแดด ค่า SPF สูงๆ หลอดละหลายสตางค์ เพราะแดดในสวนป่า

ไม่ค่อยร้อนด้วยมีร่มเงาจากต้นไม้ช่วยบดบังให้ เสียงนกร้องไพเราะยิ่งกว่าเสียงเพลงตามสายเสียอีก มองเห็นผู้ใหญ่คนหนึ่งท่าทางจะใจดี ใบหน้าที่ยิ้มแย้มต้อนรับผู้มาเยือนพร้อมด้วยแววตาแห่งความยินดี คนนี้กระมัง “ครูบาสุทธินันท์” แอบกระซิบถามครูสุด้วยเสียงเบาๆ เพราะกลัวจะเผลอปล่อยไก่เข้าสวนป่า เมื่อได้รับคำยืนยันจากครูสุดังนั้นจึงไม่รอช้าที่จะสวัสดีทักทายและหาโอกาสสนทนาถึงความน่าสนใจของสวนป่า โลกสีเขียวแห่งนี้ เอ..ชักจะรู้สึกชอบที่นี่เสียแล้วสิ

คิดไม่ผิดแล้วล่ะที่เราตกลงปลงใจมาที่นี่เอาเสียง่ายๆ ใครจะหาว่าใจง่ายก็คงไม่แคร์สื่อแล้วล่ะ เพราะตอนนี้เริ่มมีอาการตกหลุมรักโลกสีเขียวแห่งนี้แล้วจริง ๆ ???????




Main: 0.54927396774292 sec
Sidebar: 0.057563066482544 sec