การทำความดีไม่ควรรอเวลา

1 ความคิดเห็น โดย noina เมื่อ 20 January 2011 เวลา 12:35 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2924

                    

ในระหว่างวันที่ 12-16 มกราคม 2554 ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานมูลนิธิพุทธฉือจี้ (Tzu Chi Foundation) ประเทศไต้หวัน เคยได้ยินแต่ชื่อเสียงเรื่องการสร้างพลังศรัทธา และเรื่องจิตอาสา ครานี้ได้ไปดูและเห็นกับตา ตนเองทำให้เกิดความรู้สึกดีในหลายๆ เรื่องด้วยกัน ในที่นี้ขอเล่าถึงเรื่องราวประทับใจในประเด็นการสร้างเสริมคุณธรรมและจริยธรรมที่สำคัญในการดำเนินชีวิตก็แล้วกัน

มูลนิธิพุทธฉือจี้ให้ความสำคัญกับการทำความดีโดยได้นำเอาคุณธรรมที่เป็นนามธรรมและแปลงไปสู่การปฏิบัติจริงที่เห็นผลได้ชัดเจน มูลนิธิพุทธฉือจี้มีอายุกว่า 40 ปี เป็นสำนักพุทธนิกายมหายานที่ใหญ่และทรงพลังที่สุดของไต้หวัน (มีมากกว่า 10 สำนักใหญ่ด้วยกัน) โดยมีธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนซึ่งเป็นภิกษุณี เป็นผู้นำ ปัจจุบันอายุ 73 ปี และท่านเคยได้รับรางวัลแม็กไซไซจากงานที่ทำนี้เมื่อประมาณ 14 ปีที่แล้ว

มูลนิธิพุทธฉือจี้ทำงาน 8 ประการในปัจจุบันด้วยกัน คือ (1) งานการกุศล (2) งานการแพทย์ (มีโรงพยาบาล 6 แห่ง) (3) งานการศึกษา (มีโรงเรียนอนุบาลถึงมหาวิทยาลัย ที่ผลิตแพทย์และบัณฑิตทางสังคมศาสตร์) (4) งานด้านมนุษยธรรม (5) งานบรรเทาทุกข์สากล (6) ธนาคารไขกระดูก (7) การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (8) อาสาสมัครชุมชน

คุณธรรมสำคัญที่ทางมูลนิธินำมาปฏิบัติให้เห็นผลชัดเจนคือ พรหมวิหารสี่  ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา

เมตตา คือความต้องการเห็นผู้อื่นเป็นสุข โดยไม่แบ่งเชื้อชาติ ศาสนา ดังจะเห็นได้จากการที่มูลนิธิพุทธฉือจี้ ได้ให้การช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากทั่วทุกประเทศ โดยคำสอนที่สำคัญมุ่งเน้นให้ทุกคนมีความรักต่อกัน โดยในโลกนี้ไม่มีใครที่เราจะไม่รัก ไม่ศรัทธา หรือไม่เชื่อใจ  ความรักสามารถนำพาทุกสิ่งไปในทางที่ดีได้

กรุณา คือสอนให้รู้จักการช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน มูลนิธิพุทธฉือจี้ มีเป้าหมายที่สำคัญในการ “สอนคนรวยและช่วยเหลือคนจน” คนที่มีพร้อมควรเผื่อแผ่คนที่ยากไร้ การช่วยปลดเปลื้องความทุกข์จากการเจ็บป่วยถือเป็นการแก้ไขปัญหาความยากจนไปด้วย โดยการให้ในสิ่งเล็กๆน้อยๆ ของบุคคลหนึ่งอาจจะเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่สำหรับอีกคนหนึ่งได้

มุทิตา คือ ความยินดีในธรรมะและความสงบสุขที่ได้ปลูกฝังแก่สังคม เมื่อสามารถช่วยเหลือให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ได้ ก็จะเกิดมุทิตาซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่จะนำมาซึ่งความสุขใจจากการที่เราได้ทำความดี ได้ช่วยเหลือผู้อื่น มุทิตาจึงเปรียบเสมือนยาชูกำลังในการทำความดี

อุเบกขา คือการวางเฉย เมื่อให้การช่วยเหลือผู้อื่นแล้วไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ และในกรณีที่เราไม่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ก็ควรวางอุเบกขาทำวางใจให้เป็นกลาง และพิจารณาว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมที่ได้เคยกระทำไว้ จะดีหรือชั่วก็ตาม กรรมนั้นย่อมส่งผลอย่างยุติธรรมตามที่เขาผู้นั้นได้เคยกระทำไว้อย่างแน่นอน

นอกจากนี้จริยธรรมหรือสิ่งที่ดีงามที่ทุกคนพึงกระทำที่สำคัญมีสองประเด็นที่สำคัญที่คนเราไม่ควรรอเวลา นั่นคือ “ความกตัญญูกตเวทีและการทำความดี” ประเด็นความกตัญญูกตเวทีนี้เองทำให้นึกถึง เรื่องเล่าของครูปู เรื่อง “อายที่มีแม่แก่” ถ้าหากเราละเลยที่จะกตัญญูต่อผู้มีพระคุณของตัวเองเพียงเพราะอายเพื่อน แล้วเราจะหันมาดูแลท่านตอนไหนในเมื่ออายุของท่านก็มากขึ้นทุกวันๆ ความละอายควรมีไว้สำหรับการกระทำในสิ่งไม่ดี นั่นคือ “หิริ โอตตัปปะ” ส่วนความกตัญญูกตเวทีไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นเรื่องน่าชื่นชมต่างหาก และเป็นเครื่องหมายที่การันตีได้ถึงความเป็นคนดีของคนเราอีกด้วย

ส่วนในประเด็นการทำความดีไม่ควรรอเวลา ทำให้นึกถึงคำพูดของนักศึกษาแพทย์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ที่ถามขึ้นมาในระหว่างทำกิจกรรมกลุ่มที่สวนป่า ว่า “ ทำไมอาจารย์ทุกท่านอายุก็ยังไม่มาก แถมยังอยู่คนละที่กัน ทำไมถึงได้คิดมาช่วยกันทำกิจกรรมดีๆ เพื่อสังคมถึงได้ ” คำตอบมันชัดเจนอยู่ในตัวอยู่แล้วว่า การทำความดีไม่ควรรอเวลา แม้จะเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ แต่ถ้าเริ่มจากจุดเล็กๆ ในที่สุดก็จะนำมาซึ่งความสงบสุขในสังคมได้

สรุปสาระสำคัญสั้นๆ ของหลักคำสอนของมูลนิธิพุทธฉือจี้ ที่เห็นด้วยอย่างยิ่งคือ “ในสังคมมีทั้งคนดีและคนไม่ดี การกำจัดคนไม่ดีนอกจากจะทำได้ยากแล้ว ยังเสียเวลา สู้ส่งเสริมการทำความดีและสร้างคนดีให้มีในสังคมเพิ่มมากขึ้นน่าจะดีกว่า เพราะนั่นคือคนไม่ดีจะเริ่มลดน้อยลงไป สุดท้ายสังคมก็จะมีแต่คนดีและมีความสงบสุขได้”

การไปศึกษาดูงานครั้งนี้ทำให้มีกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงานดีๆ อีกแล้วครับท่าน…อิอิอิ


เวลาเดินเท่ากัน

1 ความคิดเห็น โดย noina เมื่อ 3 January 2011 เวลา 10:40 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2414

 



    

หลังจากที่หยุดพักผ่อนมาหลายวัน เป็นช่วงสุขสันต์ที่ได้อยู่กับครอบครัวที่รัก ได้ใช้เวลาอยู่กับแม่และพี่ๆ และหลานๆ ในคืนข้ามปี อ้อยังมีเจ้าหมูแฮม สมาชิกในบ้านอีกหนึ่งชีวิต (ลูกหมาที่ต้องเสียหมาตั้งแต่เกิด เพราะถูกตั้งชื่อให้เป็นหมูทั้งๆ ที่เป็นหมา) ข้อดีของเจ้าหมูแฮมคือการทำเรื่องธรรมดาให้เป็นเรื่องพิเศษได้ นั่นคือการเกาะแข้งเกาะขาเจ้าของ เหมือนจะอ้อนขอความรักยังไงยังงั้น และก็อดไม่ได้ที่จะต้องอุ้มเจ้าหมูแฮมมากอดทุกที ในบางเวลาที่บ้าๆบอๆ นั่งหัวเราะหน้าจอคอมพิวเตอร์ขณะคุย FB กับสมาชิกชาวเฮ เจ้าหมูแฮมก็มาสะกิดขาเหมือนอยากจะร่วมแจมในวงสนทนาด้วย ภายหลังจากพลัดตกบันไดก็มีเจ้าหมูแฮมมานอนเคลียคลออยู่ใกล้ๆ ด้วยความเป็นห่วง ทำให้นึกถึงคำพูดคุณหมอจอมป่วน “แม้แต่หมามันยังรู้ว่าใครรักมัน” ความรักนี่เป็นภาษาสากลที่รับรู้ได้ด้วยการสัมผัสโดยแท้ นั่นคือการโอบกอด นั่นเอง

เวลาแห่งความสุขกำลังจะหมดไปแล้วเพราะพรุ่งนี้เป็นวันทำงาน ต้องจากบ้านด้วยความจำใจ วันนี้ยังมีเวลาว่างอีก 1 วัน เลยถือโอกาสจัดระเบียบข้อมูลในคอมพิวเตอร์ให้เป็นหมวดหมู่ซะหน่อย เข้าไปค้นเพลงเก่าๆ ที่เคยชื่นชอบและเก็บไว้ในอัลบั้มเพลงส่วนตัวมาเปิดฟัง ปกติแล้วไม่ได้ชื่นชอบศิลปินคนใดเป็นการส่วนตัว เพียงแต่ฟังเพลงไหนเข้าแล้วประทับใจในเนื้อความของบทเพลง ความหมายของเพลงที่ศิลปินพยายามจะสื่อให้คนฟังได้เข้าใจ ก็จะสรรหามาเก็บเอาไว้เปิดฟังในยามพักผ่อน บางเพลงยังสามารถนำไปใช้เป็นสื่อการสอนได้ดีอีกด้วย วันนี้ฟังเพลง “เวลาเร็วเท่ากัน” ซึ่งเป็นเพลงของคุณเอ็ม อรรถพล ประกอบของ เดอะสตาร์ 2 อัลบั้มไหนก็จำไม่ได้ รู้แต่เพียงว่าเพลงนี้ทำให้เกิดไอเดียบรรเจิดในการเขียนบันทึกของวันนี้

กว่าอะไรจะพ้นเลยผ่าน…ในวันที่เสียใจมา
ทำไมมันดูช้า…และยาวนานอย่างนี้…กว่าจะผ่านวินาที

แต่ในวันที่ใจนั้นสุข…อะไรดูจะหมุนเร็วไว
ถ้าใครเป็นอย่างนี้ลองคิดดูใหม่…ไม่ใช่เวลาที่ลำเอียง

ทุกวัน…มันจะสุข-ทุกข์ เท่าไหร่…เวลาก็ยังหมุนเดินไป
เหมือนเดิม…ไม่เคยเดินช้า หรือ เร็วกว่าที่เป็น
อยู่ที่ใจ…ถ้าใจเราไม่คิดไปก่อน..ก็คงได้รู้แน่นอน
จะได้พบเรื่องดีๆ หรือ เสียใจ…เวลาก็ไม่เร็วไปกว่ากัน

เมื่อในวันที่ใจฉันเจ็บ…จากการโดนบางคนทิ้งไป
ก็มองว่าเวลาเวียนหมุนช้าได้…แต่ก็เข้าใจในวันนี้

ทุกวัน…มันจะสุข-ทุกข์ เท่าไหร่…เวลาก็ยังหมุนเดินไป
เหมือนเดิม…ไม่เคยเดินช้า หรือ เร็วกว่าที่เป็น
อยู่ที่ใจ…ถ้าใจเราไม่คิดไปก่อน..ก็คงได้รู้แน่นอน
จะต้องพบเรื่องดีๆ หรือ เสียใจ…เวลาก็ไม่เร็วไปกว่ากัน

นั่งฟังเพลงและคิดตาม (แอบเคลิ้มมมม…อิอิอิ) อืมมม จริงด้วย เวลาเร็วเท่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่เราสุขหรือทุกข์ใจ มันอยู่ที่ใจของเราต่างหากที่คิดไปเองว่า ช่วงเวลาแห่งความสุขมันแสนสั้น และเวลาแห่งความทุกข์นั้นมันยาวนาน ในช่วงนี้ได้รับบทศิราณีจำเป็นเฉพาะกิจบ่อยๆ ก็เข้าใจความรู้สึกของคนที่ผิดหวังกับหลายๆ เรื่อง ถ้าเขาได้ฟังเพลงนี้ จะรู้สึกดีขึ้นบ้างไหมนะ หลายคนบอกว่าเวลาจะรักษาทุกอย่างให้ดีขึ้น เวลาเราต้องการลืมอะไรที่เลวร้ายก็มักจะขอใช้เวลาเป็นตัวช่วย ในช่วงเวลาที่ไม่แน่ใจอะไรขึ้นมาก็บอกว่าจะให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ความจริงมันไม่น่าจะใช่เลย ที่เราคิดว่าเวลาช่วยให้ลืมสิ่งต่างๆ ได้ เป็นเพราะเริ่มให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นน้อยลงต่างหาก เวลาทำให้คนเข้าใจกันนั่นเป็นเพราะเราได้ผ่านการใช้เหตุผลใคร่ครวญสิ่งที่เกิดขึ้นโดยใช้สติต่างหาก เวลาที่เราทุกข์ระทมเป็นเพราะเราจมอยู่แต่กับความรู้สึกที่ไม่ดีทั้งหลาย จนหลงลืมไปว่าช่วงนั้นเราใช้เวลาสิ้นเปลืองไปโดยเปล่าประโยชน์

บทเพลงบางเพลงบางครั้งก็มีความหมายมากกว่าเพลง ยังเป็นบทเรียนสอนให้เราคิดตามได้อีก นึกขอบคุณวันเวลาที่ผ่านมาอยู่เหมือนกันที่ได้นำพาชีวิตให้ไปพบเจอสรรพสิ่งทั้งหลาย เหตุการณ์ที่ประทับใจ และได้พบเจอผู้คนที่น่ารักและจริงใจ เวลานำพาสิ่งที่มีคุณค่าให้เกิดแก่ชีวิตหลายๆเรื่อง แต่ก็เสียดายเหมือนกันที่บางครั้งได้ปล่อยเวลาให้สูญเปล่าไปโดยไร้ประโยชน์ เลยตั้งใจไว้ว่าต่อไปนี้จะพยายามใช้เวลาให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่าที่สุด เพื่อตนเองและคนรอบข้างตลอดจนสังคมและประเทศชาติ วันนี้ยังมีเวลาเหลืออีกหลายร้อยนาทีที่จะสร้างความสุขสันต์ในเทศกาลแห่งความสุขเพื่อจะได้ใช้เป็นต้นทุนกำลังใจในการใช้ชีวิตในวันเวลาที่ยังเหลืออยู่ ต่อไปอย่างคุ้มค่า……


ก้าวที่พลาดไป

2 ความคิดเห็น โดย noina เมื่อ 3 January 2011 เวลา 12:02 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2389

 


    วันนี้ได้หัวข้อการเขียนบันทึกจากประสบการณ์ตรง เพราะความประมาทจึงเป็นที่มาของความผิดพลาดจนทำให้เจ็บตัว เรื่องมีอยู่ว่าวันนี้มีอุบัติเหตุที่นานทีหลายปีถึงจะเกิดสักหน จำไม่ได้เหมือนกันว่าก้าวเดินยังไงถึงได้พลาดพลัดตกบันไดบ้าน เคราะห์ยังดีที่ตกแค่สามขั้น (ถึงไม่ใช่โชคสามชั้นแต่ก็ยังถือว่าโชคพอจะมีอยู่) ผลกระทบจึงแค่ฟกช้ำเท่านั้นเอง นึกโทษตัวเองในใจถ้าไม่ประมาทเดินถือของสองมือก็คงไม่เป็นเช่นนี้ บันใดมีราวให้จับแต่ดันไม่จับ เลยต้องยอมรับความเจ็บปวดเช่นนี้ (อูยยยย..)

หลายๆ คนก็คงจะเคยมีความรู้สึกแบบเดียวกัน การก้าวพลาดทำให้เราเจ็บกาย แต่ความผิดพลาดทำให้เจ็บใจ เมื่อเราตกบันใดไปแล้วก็คงยากที่จะแก้ไขอะไรได้ ความเจ็บปวดเกิดขึ้นแล้วเอาคืนไม่ได้ มีแต่จะทำอย่างไรที่จะรักษาบาดแผลที่เกิดขึ้นให้หายเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ครั้นจะสร้างบันใดที่มีความปลอดภัยสูงกว่าเดิม แต่ถ้าหากเราประมาทเลินเล่ออีกก็ย่อมจะพลัดตกได้อีกในวันข้างหน้า ซึ่งเปรียบได้กับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีต เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรที่เกิดขึ้นแล้วได้ ความเสียใจในความผิดพลาดก็คงจะเรียกกลับคืนมาไม่ได้เช่นกัน คำตอบที่พอจะเป็นไปได้มีเพียงทำใจยอมรับสภาพที่เกิดขึ้น และหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นซ้ำรอยเดิมอีก

จะเห็นได้ว่าตัวเราเองคือสาเหตุของปัญหาและผลที่เกิดก็เกิดกับตัวเราเช่นเดียวกัน ร่องรอยของความเสียใจกับความผิดหวังในอดีตจะลบเลือนได้เร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถปรับตัวได้ดีแค่ไหน การที่จะปรับตัวได้เราต้องรู้ตัวเอง รับรู้ความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง และทำความเข้าใจด้วยเหตุและผล เฉกเช่นเดียวกับรอยฟกช้ำที่เกิดขึ้นจากการก้าวพลาดตกบันได มันจะหายไปอย่างรวดเร็วได้หากเราเข้าใจและเรียนรู้วิธีการปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง การปฐมพยาบาลที่ดีจะไม่ทำให้เหลือรอยฟกช้ำไว้เตือนความทรงจำอยู่นาน เช่นเดียวกับคนที่สามารถปรับความคิดความเข้าใจของตัวเองได้จะไม่ทุกข์ระทมกับความขื่นขมในสิ่งผิดพลาดอย่างเป็นวรรคเป็นเวร

ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองทั้งสิ้น พอมานึกทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็พบว่ามีหลายเรื่องเหมือนกันที่เราขาดทุนเพราะเกิดความทุกข์ใจมากกว่าสบายใจ และเหตุการณ์แต่ละครั้งมักจะรบกวนจิตใจอยู่หลายเพลาเหมือนกัน คอยคิดถึงแต่สิ่งที่ผิดพลาดและนำมากดดันและบั่นทอนกำลังใจตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก เสียใจเสียความรู้สึกแต่ไม่มีอะไรดีขึ้นมา นึกโทษคนอื่นก็แล้วแต่ก็ไม่ได้ทำให้สบายใจขึ้น บางครั้งส่งผลให้เกิดความเฉยชาและเหนื่อยหน่าย (อาการเหนื่อย+เบื่อหน่าย) ซึ่งอาการเหล่านี้เองเป็นบ่อนทำลายกระบวนการทำงานอย่างยิ่งยวด ก่อให้เกิดความเฉื่อย และพัฒนาการด้านลบในการทำงาน หากปล่อยไว้จะเกิดอันตรายอย่างยิ่ง ทางแก้ไขคือต้องรีบชาร์ตแบตเตอรี่อย่างเร่งด่วน การชาร์ตแบตเตอรี่ที่ว่านี้คือ “กระบวนการฟื้นคืนสติให้กับตนเอง” นั่นเอง

    ทุกครั้งที่เกิดปัญหาเช่นนี้กับตัวเอง ถือว่าโชคยังดีที่มีคนคอยเตือนสติให้คิดได้ บุคคลที่เป็นกำลังใจที่สำคัญ คอยโอบกอดและพร้อมให้สวมกอดตลอดเวลาด้วยความเต็มใจและสมยอม และเป็นอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุดในโลก คนผู้นั้นก็คือแม่สุดที่รักของข้าพเจ้านั่นเอง ทุกครั้งที่ได้กอดท่านทำให้มีกำลังใจที่เกินร้อย (แรงส์ ยิ่งกว่า M 150 เสียอีก….. อิอิอิ) แม่จึงเป็นคนสำคัญที่สุด แม้แต่อาการเจ็บตัวครั้งนี้ก็เช่นกัน แม่คือผู้ให้พยาบาล ณ จุดเกิดเหตุ รอยฟกช้ำแทบไม่มีให้เห็นเพราะแม่รีบประคบเย็นทันทีหลังเกิดเหตุ ณ เวลาแห่งความเจ็บปวดในตอนนี้ยาต้านการอักเสบขนานใดสรรพคุณก็ไม่อาจเทียบเท่ากับยาใจจากแม่ได้เลย ถึงจะเจ็บทั้งตัวแต่ก็รักหมดทั้งใจนะจุ๊บ จุ๊บ (JJJ)


สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๔

6 ความคิดเห็น โดย noina เมื่อ 1 January 2011 เวลา 12:07 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2518


 

ศุภฤกษ์เบิกดิถีขึ้นปีใหม่

อวยพรชัยด้วยบทกลอนอักษรศรี

ให้ประสพพบพานแต่สิ่งดี

ให้ชีวีราบรื่นแสนชื่นบาน

ให้การงานก้าวไกลภัยแคล้วคลาด

เปิดศักราชปีห้าสี่ที่สดใส

สุขสดชื่นรื่นอารมณ์สมฤทัย

ขอเทพไท้ทั้งผองคุ้มครองเอย…



Main: 0.092602014541626 sec
Sidebar: 0.052868127822876 sec