บทเรียนนอกตำรา
ปฏิบัติการพิสูจน์ความจริงครั้งนี้ เริ่มต้นในเย็นวันแรกที่ไปถึง ได้รู้จักบรรดามิตรรักแฟนเพลงชาวเฮฮาศาสตร์ เพิ่มเติม ทั้งหมอเจ๊ผู้มากประสบการณ์การเรียนโลก ครูปูครูพันธ์ก๊ากที่รักของลูกศิษย์ พี่ราณีผู้ใจดีและรักสุขภาพ ครูสุคนสวยผู้เสียสละนั่งสนทนามาด้วยตลอดทาง นอกจากนี้ยังได้รู้จัก อาจารย์หมอน้อย (ชื่อนี้คนนิยม JJJ) อาจารย์หมอป่วนตัวจริงเสียจริง คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จากวิทยาลัยแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พอมาถึงสวนป่าก็ฝากเนื้อฝาก ตัวพอเป็นพิธี เพื่อสร้างความคุ้นเคยกัน
บทเรียนบทที่แรกของการมาสวนป่าครั้งนี้ได้แก่ การดวลรับประทานสะเดาน้ำปลาหวาน (แค่บทที่หนึ่งก็ยากแล้ว L) ไม่อยากจะสารภาพเลยว่าการรับประทานสะเดาครั้งนี้เป็นครั้งแรก ด้วยเหตุที่ไม่เคยคิดจะพิศวาสรสชาติขมของสะเดาเลย แต่ทำไงได้ล่ะ ไหนๆก็มาถึงที่แล้วหลับหูหลับตารับประทานกะเขาไปก่อน คิดเสียว่าสงสารกระเพาะอาหารละกัน แหม..มองใคร ๆ ก็ตั้งหน้าตั้งตาหม่ำสะเดายังกะขนมหวาน จะมีก็แต่นักศึกษาแพทย์และตัวเรากระมังที่พยายามสุดๆ ครั้งนี้ สะเดามีรสชาติขม ก็จริงแต่พอรับประทานกับน้ำปลาหวานมันช่างกลมกล่อมแบบลงตัว อืมมม.อร่อยดีเหมือนกันนี่นา มองหน้าครูปูดูช่าง enjoy eating ซะจนสะเดาตรงหน้าหมดไปทั้งจาน มองดูนักศึกษาแพทย์บางคนช่างมีน้ำใจเสียเหลือเกินที่อุตส่าห์เอื้อเฟื้อจานสะเดาและน้ำปลาหวานให้กับสตรีและคนชรา (JJJ)
หลังอาหารมื้อค่ำที่อิ่มหนำสำราญ บทเรียนบทที่ 2 ก็เริ่มขึ้น เป็นการพบปะพูดคุยและทำความรู้จักกัน สังเกตดูหน้าตาน้องนักศึกษาแต่ละคนยังดูกังวลเล็กน้อย แต่พอได้พูดคุยกันจึงเข้าใจเพราะมีนักศึกษาคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า กังวลที่จะได้มาปฏิบัติธรรมที่สวนป่า เพราะเข้าใจว่ามีพระอาจารย์ชื่อ “ครูบาสุทธินันท์” (JJJ) อีกหลายคนวิตกกังวลเรื่องที่จะสอบในวันจันทร์หน้า วงสนทนาค่ำคืนนี้ยังดูกร่อยๆ เพราะแต่ละคนยังไม่พร้อม และไม่ปล่อยวางความรู้สึกของตนเอง
วันที่ 2 สมาชิกชาวเฮฮาศาสตร์เดินทางมาเพิ่มอีก 1 คน คือ พี่อิงสาวสิบล้อผู้มากด้วยความกล้าเดินทางมากับความมืด (JJJ) เช้าวันนี้เริ่มบทเรียนบทที่ 3 โดยครูบาได้นำคณะนักศึกษาทัศนาสวนป่าที่รื่นรมย์ เล่าความเป็นมาของสวนป่าพอสังเขป กว่าจะมาเป็นสวนป่าแห่งนี้ในปัจจุบันได้ต้องใช้เวลานานหลายปี ชีวิตของครูบาเรียนรู้ด้วยวิธีการลองผิดลองถูก เรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรง ความผิดพลาดหลายครั้งจากการปลูกต้นไม้ และเผาถ่าน บทเรียนที่ได้สอนให้คิดหาวิธีการต่างๆ ที่แตกต่างออกไป ผลที่ได้คือความภาคภูมิใจในสวนป่าแห่งนี้ ครูบาสามารถบอกวันเดือนปีเกิดของต้นไม้ในสวนป่าได้แทบทุกต้น การเดินชมสวนป่าทำให้ได้รู้จักกับ “ต้นพระเอก” ของยางนา “ต้นนางเอก” ของสะเดา เหตุของการได้รับฉายานี้เพราะมีลำต้นตรง สูงใหญ่ ไม่มีกิ่งก้านที่แตกแขนงแยกย่อยให้ยุ่งเหยิง ครูบาเล่าให้ฟังว่าต้นไม้ทุกต้นโตไม่เท่ากัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 20 ปี ต้นไม้ทุกต้นจะมีขนาดใกล้เคียงกัน ต้นไม้ในสวนป่ามีมากมายหลายพันธุ์ ระยะห่างระหว่างต้นที่ใกล้กันส่งผลให้ต้นไม้แต่ละต้นแข่งขันด้านความสูงเพื่อรับแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของการสังเคราะห์แสง ไม่ต่างอะไรกับคนเราที่มีการแข่งขันเพื่อการดำรงชีวิต ต้นไม้มีการปรับตัวในการเจริญเติบโตในสวนป่าเช่นเดียวกับคนเราที่มีการปรับตัวในสังคม
บทเรียนที่ 4 เริ่มต้นหลังจากรับประทานอาหารมื้อเช้า นักศึกษาได้ถูกจัดกลุ่มใหม่โดยแยกออกเป็น 2 กลุ่ม และเรียนรู้ชีวิตผ่านการสะท้อนมองดูตัวเองโดยมีกิจกรรมเป็นสื่อการเรียนรู้ กิจกรรมทิ้งไพ่ เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักศึกษาเรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจคนอื่นด้วยเหตุผล เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันโดยไม่คิดตัดสินคนอื่นจากสิ่งที่มองเห็น ซึ่งนักศึกษาหลายคนประทับใจกิจกรรมนี้มาก ส่วนอีกด้านหนึ่งจัดกิจกรรมพักสมอง โดยให้นอนฟังเพลงจนเผลอหลับไป หลักการของกิจกรรมนี้เป็นการเตรียมความพร้อมของสมองให้พร้อมบันทึกข้อมูลต่างๆ การพักสมองโดยการนอนหลับเปรียบดั่งการ reset หน่วยความจำให้ว่างสำหรับเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ นักศึกษาหลายคนชอบกิจกรรมนี้อย่างลึกซึ้ง สังเกตจากการหลับลึก(ลึกซึ้งซะจนปลุกไม่ตื่น JJJ)
บทเรียนที่ 5 เฮฮากับเมนูอาหารมื้อเย็น นักศึกษาหลายคนตื่นเต้นกับบทเรียนบทนี้ เพราะเป็นการทำอาหารมื้อแรกในชีวิต ทุกคนร่วมแรงแข็งขันในการสวมบทครูกุ๊ก เมนูมื้อนี้ประกอบด้วย น้ำพริกกะปิตะลิงปิง ผัดผักบุ้งไฟแดง ต้มจืดฟักกระดูกหมู และไข่เจียวพิสดาร ผลจากความสามัคคีครั้งนี้ส่งผลให้รสชาติอาหารเป็นที่ถูกอกถูกใจใครหลายๆ คน ความอิ่มอร่อยของอาหารไม่เทียบเท่าได้กับความอิ่มอกอิ่มใจของบรรดาผู้มีส่วนร่วมทั้งหลาย บางคนถึงกับแสดงตนถึงการมีส่วนร่วมเมื่อพบว่า ไข่เจียวพิสดารนั้นหมดเกลี้ยงทุกจาน “ฝีมือหนูตอกไข่เองค่ะอาจารย์”
เช้าวันที่ 3 ร่วมสรุปบทเรียนจากการเรียนรู้นอกห้องเรียนทั้งหมด นักศึกษาทุกคนได้ถ่ายทอดออกมาเป็นเสียงเล็กๆ ของตนเองด้วยความภูมิใจ สีหน้าและแววตาในวันนี้ช่างแตกต่างจากวันแรกที่มา แววตาในวันนี้บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ มีประกายไฟแห่งความมุ่งหวัง จึงมั่นใจได้ว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าบรรดาคุณหมอตัวน้อยๆในวันนี้จะเป็นกำลังสำคัญที่จะดูแลและส่งเสริมสุขภาพของผู้คนสี่จังหวัดอีสานตอนใต้ให้มีสุขภาวะที่ดีขึ้นจากวันนี้อย่างแน่นอน ……..
Next : อุดมศึกษาร่วมสร้างประเทศไทยน่าอยู่ » »
3 ความคิดเห็น
สะเดาน่ะของโปรด
สงสัยเข้าตำรา พอแก่เข้าก็..
ชอบกินของขม (ไม่ต้องต่อความนะ)
มันมีประโยชน์นะ สะเดาทั้งต้นเข้าสมุนไพรหมด
เกษตรกรจำนวนมากเอาไปทำน้ำหมักไล่แมลง
ใช้ได้ดีด้วย แต่เอ เรากินเข้าไปมันก็ไปหมักในพุง มันจะไปไล่อะไรในพุงด้วยรึเปล่าหนอ..
สะเดากลางดอน
• ผักยืนต้นของไทยมีไว้มาก
เป็นลาภปากหากลองจะผ่องศรี
ได้รู้จักคุณค่าอร่อยดี
แถมไม่มีพิษยามากังวล
• ปลูกครั้งเดียวเก็บไปได้เรื่อยๆ
ขี้เกียจเมื่อยยังไงก็ให้ผล
ถึงฤดูผลิดอกใบมาให้ยล
ตอบแทนคนปลูกให้ได้เก็บชิม
• ของดีๆมีทั่วไปในท้องถิ่น
รู้จักกินรู้จักทำให้ท้องอิ่ม
หวานเป็นลมขมเป็นยาน่าลองลิ้ม
แกล้มรอยยิ้มสุขอุราโรคาเมิน
• อยู่ง่ายๆกินง่ายๆจะได้ไหม
สุขภาวะคนไทยไม่ขาดเขิน
ถ้าฟื้นฟูเมนูไทยให้เจริญ
เราจึงเชิญสะเดาเข้ารายการ
• เสียดายแทนคนที่ไม่เคยลอง
เสียดายของดีๆที่มองผ่าน
เสียดายจังคนที่ยังไม่ชำนาญ
เสียดายที่ลูกหลานไม่กล้าชิม
• เผลอพลาดไปเอาใหม่ดีไหมนะ
วันนี้จะดวลสะเดาเอาให้อิ่ม
ปิ้งมัจฉาร้อนฉ่ามาชวนลิ้ม
บ า ง ท ร า ย ยิ้ม อ า ว์ เ ป ลี่ ย น แย้มแกล้มสะเดา
คุณประโยชน์ สะเดาดี ที่ความขม
เหตุนิยม ผู้สูงวัย ปรารถนา
ด้วยความขม ช่วยส่งเสริม โภชนา
ได้คุณค่า เรียกน้ำย่อย อร่อยดี
ทานสะเดายังส่งเสริม การขับถ่าย
ทานสบาย หลับสนิท จิตสุขี
สะเดาคู่ น้ำปลาหวาน เข้ากันดี
คู่คนดี คู่สวนป่า ชาวฮาเฮ