ถึงเวลาจะเปลี่ยนไปแต่จิตใจเป็นสุข

2 ความคิดเห็น โดย noina เมื่อ 26 December 2010 เวลา 9:21 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2104


        เรื่องที่เขียนในวันนี้ ได้แนวคิดจากปัญหาของเพื่อนคนหนึ่ง ที่มีความทุกข์และได้บอกกล่าวเล่าสู่ฟัง ทำให้ต้องแสดงบทบาทศิราณีจำเป็นเฉพาะกิจ คนเราบางครั้งมีเมื่อมีความทุกข์ใจอันเกิดจากความคิดของตนเอง ก็มักจะคิดหมกมุ่นอยู่กับตนเอง วนเวียนไปมาหลายรอบ (มากกว่าการเวียนเทียนซะอีก) การช่วยเหลือทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการทำหน้าที่เป็น Recycle bin อย่างน้อย ๆ เขาก็คงจะรู้สึกโล่งขึ้นมาบ้าง (เลยจัดการมัดปากถุงให้เรียบร้อยเพื่อส่งให้เทศบาลกำจัดให้ถูกวิธีต่อไป)

        ใกล้จะถึงปีใหม่อีกแล้ว หลายคนดีใจที่จะได้เฉลิมฉลองต้อนรับปีใหม่ หลายคนคาดหวังว่าปีใหม่จะได้พบเจออะไรที่ดีกว่าปีเก่า เพื่อนคนนี้ก็คงเช่นเดียวกัน คิดคาดหวังในทุกสิ่งทุกอย่างที่จะสร้างความพอใจให้กับตนเอง แต่จะมีสักกี่คนไหมนะที่จะคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ที่ตนเองได้ผ่านมาตลอดระยะเวลาของปีเก่า ว่ามีอะไรบ้างที่ตนเองทำได้ดีและภูมิใจ อะไรบ้างที่เป็นข้อบกพร่องหรือผิดพลาดที่ทำให้ตนเองเสียใจ เคยลองเปรียบเทียบดูไหมว่า สิ่งไหนมันมากกว่ากัน

       ในการทำงานเรายังมีการประเมินผลเมื่อครบกำหนดตามเป้าหมายของระยะเวลาในวงรอบในแต่ละปี ถ้าชีวิตคนเราเป็นเช่นเดียวกันได้ก็น่าจะดี มีใครเคยประเมินการใช้ชีวิตในรอบปีหนึ่ง ๆ ของตนเองบ้างไหม??? ว่าเราใช้ชีวิตในรอบปีได้อย่างคุ้มค่าหรือไม่??? หากเรามีเรื่องราวที่ทำให้เกิดความสุขและภาคภูมิใจมากกว่าเรื่องราวที่เสียใจนั่นคือการดำเนินชีวิตในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมาเราได้กำไรในการใช้ชีวิต แต่หากเรามีเรื่องผิดพลาดหรือเสียใจมากกว่านั่นคือเราขาดทุนในการใช้ชีวิต อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะได้กำไรหรือขาดทุนความสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่าเราเคยถอดบทเรียนชีวิตตัวเองบ้างหรือไม่ว่าปีที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตคุ้มค่าในเรื่องใดบ้าง ถึงแม้เราจะขาดทุนเพราะเวลาที่ผ่านมาเรามีความทุกข์มากกว่าความสุขแต่เราได้เรียนรู้จากความทุกข์ตรงนั้นได้ นั่นคือความคุ้มค่าของชีวิตในหนึ่งปี

       ตลอดระยะเวลา 365 วัน จำได้ไหมว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง เคยร้องไห้เสียน้ำตาไปกี่ครั้ง ดีใจและยินดีสุด ๆ ในเรื่องใด ได้บอกรักใครและแสดงความรักต่อใครไปแล้วบ้าง เคยทำอะไรให้ใคร ๆ เสียใจกี่ครั้ง ได้เดินทางไปสถานที่ใดบ้างและการเดินทางครั้งใดที่ประทับใจที่สุด ใครที่ทำให้เราดีใจหรือเสียใจ หนึ่งปีที่ผ่านมาเรามีเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นกี่คน เราได้ติดต่อเพื่อนเก่า ๆ บ้างไหม และเราสูญเสียใครไปแล้วบ้างในปีที่แล้ว ฯลฯ

      เรื่องราวสิ่งดี ๆ ทุกคนอาจจำได้แม่น แต่เรื่องความผิดพลาดที่ผ่านมาล่ะ เราควรจดจำไหม??? บางคนคิดว่าไปคิดให้มันเปลืองสมองทำไม จะให้คิดถึงเรื่องความผิดพลาดหรือความบกพร่อง เราควรจะลืมมันไปไม่ดีกว่าหรือ ความจริงคนเราทำเช่นนั้นได้ลำบาก อะไรที่อยากลืมก็กลับจำได้อย่างแม่นยำ แต่เรากลับเลือกจดจำจุดที่มันบั่นทอนความรู้สึกของตนเอง ความทุกข์มันจึงมีมากขึ้น ถ้าหากเปลี่ยนจุดคิดนิดแค่เดียวก็จะเกิดประโยชน์ได้มาก นั่นคือการคิดถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดพลาดเหล่านั้นมากกว่าการคิดถึงผลของความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ในเมื่อลืมมันไม่ได้ก็ควรคิดถึงจุดที่ก่อให้เกิดการพัฒนา นั่นคือ “เหตุแห่งทุกข์

      เมื่อเราเปรียบเทียบสิ่งที่ผ่านมาแล้วโดยคร่าว ๆ หากสิ่งที่ผิดพลาดนั้นสำคัญ ลองมองหา “เหตุแห่งทุกข์” เพราะเรารู้เหตุของความผิดพลาดที่ผ่านมา เราย่อมรู้หนทางที่จะพัฒนาสิ่งนั้นให้ดีขึ้นในปีใหม่ได้ การเปลี่ยน แปลงที่ง่ายที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงตัวเราเอง เพราะการจะเปลี่ยนคนอื่นนั้นลำบากนัก เราควรคิดว่าวันนี้ทำได้ดีพอรึยังมากกว่าจะมองว่าคนอื่นทำดีแค่ไหน ความคิดมีทั้งด้านบวกและลบ คิดในทางสร้างสรรค์ให้มากกว่าบั่นทอนความรู้สึก จะเป็นการฝึกสมรรถภาพสมองของเราได้ดี และนั่นจะส่งผลต่อคุณค่าในการใช้ชีวิตของเราทำให้เราคุ้มค่ากับวันเวลาของเราด้วย เมื่อเราใช้ชีวิตได้อย่างคุ้มค่าไม่ว่าจะปีเก่าไปปีใหม่มา เราก็ยังมีเวลาและโอกาสในการกระทำตามความคิดที่สร้างสรรค์ของเราปีละ 365 วันเท่าเดิมทุกปี การจะพบเจอสิ่งดีหรือไม่ดีนั้นสำคัญอยู่ที่ว่าเรามองสิ่งนั้นอย่างไรต่างหาก


กตัญญุตา

1 ความคิดเห็น โดย noina เมื่อ 25 December 2010 เวลา 12:54 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2084

 


    วันก่อนเข้าไปอ่านเรื่อง “อายเพราะมีแม่แก่” ของครูปู ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันที่เคยได้ยิน มีอาจารย์พยาบาลท่านหนึ่งซึ่งประสบปัญหามีบุตรยาก เลยตัดสินใจไปทำ GIFT และก็ได้ตั้งครรภ์สมใจ ท่านมักจะเล่าเรื่องส่วนตัวให้น้องๆ ที่แต่งงานแล้วมีปัญหามีบุตรยากฟังเสมอ เพื่อจะได้มีความหวังและกำลังใจ บังเอิญได้อยู่ในวงสนทนาด้วยจึงเก็บประเด็นหนึ่งที่พี่เล่าให้ฟังซึ่งเป็นเรื่องฮา ๆ ว่า ” กว่าจะตั้งครรภ์ได้ก็ยากลำบากพอแล้วแต่การดูแลลูก ๆ ยิ่งยากลำบากเข้าไปใหญ่” ยิ่งตอนลูก ๆ เข้าโรงเรียน เขาจะเป็นแรงบันดาลใจให้เราต้องทำตัวให้ดูดีตลอดเวลา เพราะเพื่อน ๆ ลูกที่โรงเรียนจะแข่งขันกันว่าใครมีแม่สวยและสาวกว่ากัน เป็นการแข่งขันตามประสาเด็กอนุบาล วันแรกของการไปโรงเรียนของเจ้าตัวเล็ก หลังเลิกเรียนเจ้าตัวเล็กวิ่งแจ้นกลับบ้านมาหาแม่พร้อมยิ้มแฉ่งอย่างดีใจ

แม่ : “ว่าไงลูก ลูกดีใจที่แม่ของลูกยังสาวและสวยที่สุดใช่ไหมจ๊ะ”

ลูก (ตอบกลับมาด้วยสีหน้าและแววตาปลื้มปีติ) : “เปล่าค่ะ หนูดีที่ใจที่สุดเลยค่ะ ที่คุณแม่ไม่ได้แก่ที่สุดในห้อง”

แม่ : “อ้าว เหรอ แล้วแม่ได้ที่เท่าไหร่ในห้องจ๊ะ”

ลูก : “คุณแม่ได้ตำแหน่งรองอันดับหนึ่งค่ะ แม่ของเพื่อนที่มีอายุมากที่สุดเขาอายุมากกว่าคุณแม่ตั้ง 3 วัน ค่ะ”

แม่ : ?????????????

    เรื่องการแข่งขันว่ามีแม่สาวและสวยเป็นเรื่องที่เด็ก ๆ อนุบาลเขาคิดกัน แต่หากโตเป็นผู้ใหญ่แล้วถ้ามองวิกฤตเป็นโอกาสจะดีมาก “การที่มีพ่อแม่อายุมาก นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ดูแลท่านในช่วงบั้นปลายของชีวิต และหากเป็นช่วงที่เรายังไม่มีภาระในการดูแลใครก็ยิ่งทำให้เราได้มีเวลาตอบแทนพระคุณของท่านได้มากยิ่งขึ้น ลองย้อนกลับไปมองดูสักนิด ว่าท่านพยายามแค่ไหนกว่าจะให้ชีวิตแก่เรา ท่านลำบากแค่ไหนกว่าจะเลี้ยงเราได้เติบโตจนถึงวันนี้ได้ “ความกตัญญูกตเวที” เป็นสัญลักษณ์ของคนดี เชื่อเถอะว่าคนที่ดูแลพ่อแม่ของตนเองเป็นอย่างดี อนาคตของคน ๆ นั้นก็ย่อมจะประสบพบเจอแต่สิ่ง ๆ อย่างแน่นอน”


วันดีดีที่ไม่ธรรมดา

4 ความคิดเห็น โดย noina เมื่อ 20 December 2010 เวลา 11:49 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2845


    วันนี้ได้ขึ้นนิเทศการปฏิบัติงานวันแรกของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 ซึ่งเป็นการขึ้นฝึกปฏิบัติงานครั้งแรกในชีวิตของนักศึกษา จึงมีเหตุการณ์ประทับใจเกิดขึ้น และอยากเล่าเป็นบทกลอนให้ทุกท่านได้รับรู้ เพราะว่าวันนี้อารมณ์ดีและมีความสุขมากค่ะ

 

       นิเทศงานนักศึกษาในคราแรก            ดูแปลกแปลกแตกต่างไปใจสับสน

       นักศึกษาดูซึมเศร้าเหงาชอบกล         แต่ละคนดูประหม่าทั้งกล้ากลัว

       จึงทดลองใช้วิชา”ครูบา”ช่วย            เริ่มต้นด้วย”เจ้าคือใคร”บอกให้ทั่ว

       ”เจ้ามาทำอะไร” “เหตุใดกลัว”           แนะนำตัวสร้างสัมพันธ์ให้มั่นใจ

       ”เจ้าคาดหวังสิ่งใด” “อย่างไรบ้าง”     ยกตัวอย่างชี้แจงแถลงไข

       ”สิ่งที่กลัวใหญ่ยิ่งคือสิ่งใด”               ต้องการครูช่วยแก้ไขให้บอกมา

       ”ในชีวิตภาคภูมิใจสิ่งใดเล่า”              จงยกเอาสิ่งเหล่านั้นที่สรรหา

       มาบอกเล่าความสำคัญจำนรรจา        คือคุณค่าช่วยสร้างสรรค์ความมั่นใจ

       เมื่อได้พูดเฉลยเอ่ยคำขาน                เปลี่ยนสีหน้าชื่นบานดูสดใส

       กล้าแสดงความคิดเห็นบอกเป็นนัย     วอนครูให้ช่วยเมตตาเอื้ออารี

       ”โปรดอย่าทิ้งศิษย์ทั้งหลายให้หดหู่”   ”ขอคุณครูอยู่ด้วยช่วยแก้ไข”

       กิจกรรมลำบากสักเพียงใด                “ศิษย์ภูมิใจวิชาชีพพยาบาล”

       ”จะไม่ท้อขอครูเป็นเช่นความหวัง”      ”เสริมพลังให้หัวใจได้กล้าหาญ”

       ”จากวันนี้ตลอดไปใจชื่นบาน”            ”จะตั้งใจทำงานเพื่อฝันตน”

       วันนี้จึงเป็นวันดีอีกวันหนึ่ง                 เพราะซาบซึ้ง”วิชามาร”นั้นได้ผล

       นึกขอบคุณ”หมอจอมป่วน”พี่ทุกคน     ที่ฝึกฝนสอนสิ่งใหม่ได้เข้าที

       เกิดแรงใจให้ไปต่อในวันหน้า             สร้างศรัทธาให้ดวงดาวพราวสดสี

       เฮฮาศาสตร์สืบสานมานานปี              ขอร่วมสร้างสิ่งดีดีให้สังคม

    


 


เปลี่ยนวันธรรมดาให้เป็นวันพิเศษ

4 ความคิดเห็น โดย noina เมื่อ 19 December 2010 เวลา 4:43 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2063


    วันนี้เป็นวันอาทิตย์ และเป็นวันหยุดพักผ่อนของใครต่อใครหลายคน แต่บางคนก็ยังเป็นวันทำงานเช่นเคย จำได้ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคามคนก่อนมีนโยบายรณรงค์ให้วันอาทิตย์เป็นวันแห่งครอบครัว ซึ่งท่านก็คงรับนโยบายมาจากส่วนกลางนั่นเอง เพราะเห็นมีรายการโฆษณาทางโทรทัศน์รายการหนึ่งที่พยายามจะสื่อให้คนไทยใช้เวลาอย่างน้อย 1 วัน ในสัปดาห์ เพื่อให้เป็นวันแห่งครอบครัว โดยวันนั้นควรเป็นวันที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมความอบอุ่นให้เกิดขึ้นในสถาบันครอบครัว เป็นโอกาสอันดีที่คนในครอบครัวจะได้ทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น ไปทำบุญร่วมกัน ทำอาหารและรับประทานอาหารร่วมกันทุกมื้อ ปลูกต้นไม้หรือทำสวนร่วมกัน ช่วยกันทำความสะอาดบ้าน ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้วกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ทุกคนในครอบครัวปฏิบัติเป็นประจำในอดีต แต่ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า บางอย่างได้เปลี่ยนแปลงไป โครงสร้างครอบครัวในสังคมไทยเป็นครอบครัวเดี่ยวโดยส่วนมาก น่าแปลกตรงที่ ทั้งๆที่จำนวนสมาชิกในครอบครัวน้อยลงแต่กลายเป็นว่าโอกาสที่จะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาก็ยิ่งน้อยลงไป สมัยก่อนโครงสร้างสังคมไทยเป็นครอบครัวขยาย สมาชิกครอบครัวมีจำนวนมากแต่กลับมีเวลาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาได้มากกว่า

    ปัจจุบันแม้แต่วันหยุดราชการโอกาสที่คนในครอบครัวจะได้อยู่กันพร้อมหน้าก็แทบจะหาได้ยากยิ่ง “เป็นเพราะสังคมเปลี่ยนไปหรือจิตใจคนเปลี่ยนแปลง” การทำให้วันธรรมดากลายเป็นวันพิเศษมันมีความสำคัญแค่ตรงที่ต้องมานั่งทำอะไรด้วยกันเพียงแค่วัน 1 วันในสัปดาห์ใช่หรือเปล่า??? ความพิเศษมันประเมินได้จากอะไร ??? การสร้างความสุขภายในครอบครัวคงไม่จำเป็นต้องรอวันหยุดพร้อมหน้าพร้อมตากันกระมัง การสร้างความพิเศษน่าจะอยู่ที่การเอาใจใส่ และให้ความสำคัญกับความรู้สึกของกันและกันมากกว่า เรามีเวลาคุยกับคนในครอบครัวเราหรือไม่ในแต่ละวัน แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับเรามีเวลารับฟังความทุกข์ในใจของกันและกันบ้างไหม และเรากอดคนในครอบครัวของเราครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ ยังจำมันได้หรือเปล่า??? ความรู้สึกนั้นเป็นอย่างไร??? รู้สึกดีหรือไม่ที่ได้กอดคนที่เรารักและรักเรา??? เสียเวลามากไหมที่จะทำให้เราและคนที่เรารักรู้สึกดี เห็นไหมว่า…การสร้างความพิเศษให้เกิดขึ้นในวันธรรมดาไม่เห็นจะยากเลย คนที่เรากอดก็ไม่ใช่คนอื่น ไม่เห็นต้องขออนุญาตเขาก่อนสวมกอด คนกอดก็มีเจตนา คนโดนกอดก็สมยอม ไม่ผิดข้อหาใดๆ ทั้งสิ้น งานนี้ไม่ได้ขึ้นโรงขึ้นศาลอย่างแน่นอน……

(นิยาม กอด= เป็นอาการแสดงที่เกิดจากการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติเมื่อชาวเฮฮาศาสตร์เมื่อได้พบประสบพักตร์กัน อิอิอิ)

 

    

    


สิ่งเล็กน้อยที่ยิ่งใหญ่

6 ความคิดเห็น โดย noina เมื่อ 18 December 2010 เวลา 10:49 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2876


หลังจากได้ที่ได้ร่วมเรียนรู้บทเรียนนอกตำรา และบทเรียนการประชุมวิชาการระดับชาติของ สกอ. ก็ต้องกลับเข้าสู่ยุทธจักรของเส้นทางสีขาวอีกครั้ง หลังจากที่ได้หายหน้าหายตาจากวงการ ปล่อยให้นักศึกษาได้ศึกษาตามอัธยาศัยบนหอผู้ป่วยศัลยกรรม โดยมี อาจารย์พยาบาลพี่เลี้ยงคอยดูแลแทนในช่วงที่ไปประชุม 13-15 ธันวาคม 2553 ที่ผ่านมา สิ่งแรกที่สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อเจอหน้าลูกศิษย์คือ แววตาแห่งความปลื้มปีติและดีใจเมื่อเห็นอาจารย์กลับมานิเทศอีกครั้ง ความผิดปกติที่เปลี่ยนไปของนักศึกษาคือ ความกล้าและความกระตือรือร้น ต่างจากวันแรกที่ขึ้นฝึกปฏิบัติงานอย่างสิ้นเชิง (วันนี้เป็นการฝึกปฏิบัติงานวันที่ 4 ในสัปดาห์ที่ 2) ก่อนปฏิบัติงานทุกวันจะเริ่มต้นด้วยการ Pre conference ได้สอบถามถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในรอบสามวันก่อน ว่านักศึกษาทุกคนอยู่ดีสบาย หรือไม่ อย่างไร คำตอบที่ชัดเจนของนักศึกษาที่ทำให้ยิ้มจนเหงือกแทบจะแห้งก็คือ “สนุกสนานมากค่ะอาจารย์ พี่ๆ ให้โอกาสพวกหนูทำทุกอย่าง พี่ๆ ใจดีทุกคนเลยค่ะ ถ้าทำอะไรไม่ได้พี่จะสอนและไม่ตำหนิเราด้วยค่ะ มีความสุขมากค่ะ” บางคนบอกว่า “รู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมากก่อนเลยค่ะ อาจารย์ ” (น่าจะประชุมต่ออีกสัก 2 วัน นะเนี่ย ถ้าครบ 5 วันนักศึกษาบางคนจะได้หมดความกังวล อิอิอิ )

การเรียนการสอนในคลินิกเริ่มต้นขึ้นภายหลังจากการ Pre conference การนิเทศการฝึกปฏิบัติกิจกรรมทางการพยาบาลของนักศึกษาครั้งนี้ได้เอาความรู้ที่ได้รับประสิทธิ์ประสาทจากท่านครูบาและอาจารย์หมอป่วน มาใช้โดย การเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้พูดและแสดงความคิดเห็นและอธิบายความเข้าใจของตนเองมากที่สุด รับฟังเขาด้วยความเข้าใจ เมื่อเขาพูดจบก็สะท้อนความคิดให้เขาได้คิดเองว่าที่สิ่งเขาพูดถูกต้องหรือไม่อย่างไร การอธิบายถึงเหตุผลตามหลักการเป็นการย้ำอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้เกิด Concept ที่สำคัญที่เขาควรจะรู้ เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ตนเองหลงทางมาเป็นเวลานาน กี่ปีแล้วหนอ(บอกไม่ได้เดี๋ยวรู้ อายุ อิอิอิ) ที่เราสอนนักศึกษาโดยการป้อนความรู้ให้เขาต้องรู้ในสิ่งที่เราอยากให้เขารู้ โดยที่เปิดโอกาสให้คิดเอง ทำเอง ค่อนข้างน้อย จึงไม่แปลกอะไรเลยที่ผลผลิตของเรา (พยาบาล) มีความรู้เฉพาะในขอบเขตที่เราให้เขาเรียนรู้เพียงเท่านั้น จึงมีความคิดสร้างสรรค์และการคิดนอกกรอบค่อนข้างน้อย แต่ก็ยังรู้สึกดีที่ว่าเวลาที่เหลืออยู่เรายังมีส่วนร่วมสร้างผลผลิต “พยาบาลพันธุ์ใหม่” (พยาบาลมีองค์ความรู้ทางการพยาบาล ใฝ่รู้ ใฝ่ดี คิดเป็น ทำเป็น แก้ไขปัญหาเป็น รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์)ได้อีกหลายรุ่น (คุณสมบัติพยาบาลพันธุ์ใหม่ ประยุกต์มาจาก คุณสมบัติของบัณฑิตยุคใหม่ ที่กำหนดไว้ในเป้าหมายของการพัฒนาการศึกษาให้มีมาตรฐาน อิอิอิ)

สิ่งที่อันตรายอย่างหนึ่งจากการสอนแบบป้อนความรู้โดยที่ไม่เปิดโอกาสได้เรียนรู้ด้วยตนเองก็คือ การที่เราบอกอะไร สอนอะไร เขาอาจจะท่องจำสิ่งนั้น ๆ โดยที่อาจจะไม่เข้าใจแต่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม หากท่องจำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ก็จะปฏิบัติไม่ถูกต้องด้วย สิ่งที่ตามมาก็คือ คุณภาพการพยาบาลที่อาจจะลดลง และอาจทำให้การปฏิบัติการพยาบาลไม่แตกต่างจากการดูแลของผู้ดูแลโดยทั่วไป

ในการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษา ต้องมีการทำ Nursing care conference ซึ่งเป็นการประชุมปรึกษาทางการพยาบาลเพื่อวางแผนการพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาน่าสนใจโดยใช้กระบวนการพยาบาล ซึ่งประกอบด้วย การประเมินสภาพ การวินิจฉัยทางการพยาบาล การวางแผนการพยาบาล การปฏิบัติการพยาบาล และการประเมินผลทางการพยาบาล ซึ่งกระบวนการดังกล่าวคล้ายๆ กับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นพยาบาลที่ดีก็ต้องมีคุณสมบัติของนักวิทยาศาสตร์ด้วยเช่นกัน นั่นคือ “ความช่างสังเกต ขี้สงสัย และมีเหตุผล” จึงจะทำให้สามารถค้นหาปัญหาของผู้ป่วยได้ครอบคลุมและสามารถให้การพยาบาลผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม การทำ Nursing care conference ของนักศึกษาครั้งนี้ ได้สะท้อนให้นักศึกษาให้มองเห็นถึงองค์ความรู้และความเข้าใจของตนเองในกิจกรรมการพยาบาลที่ปฏิบัติแก่ผู้ป่วย กิจกรรมการพยาบาลใดก็ตามหากเราอธิบายไม่ได้นั่นแสดงว่าเราขาดซึ่งความเข้าใจ แล้วเราจะยังเสี่ยงที่จะปฏิบัติเช่นนั้นต่อไปอีกหรือไม่???? ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะเป็นเช่นไร???? เราจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อแก้ไขภาวะเสี่ยงจากองค์ความรู้ที่ไม่กระจ่างชัด???? การเรียนรู้จากองค์ความรู้หรือแนวคิดคนอื่นไม่สามารถตอบโจทย์ปัญหาของนักศึกษาได้ครบถ้วนทั้งหมด เนื่องด้วยผู้ป่วยแต่ละคนมีความแตกต่างกัน การพยาบาลแบบองค์รวม หรือแม้แต่การดูแลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ จึงเป็นสิ่งที่นักศึกษาทุกคนต้องทำความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างบุคคล เพื่อที่จะประยุกต์ความรู้มาวางแผนให้การพยาบาลที่สอดรับกับปัญหาของผู้ป่วยที่มีในขณะนั้นจริงๆ

รอยย่นบนใบหน้าจากอาการคิ้วขมวดของนักศึกษาเริ่มคลายลงไป หลังจากครูเปิดโอกาสให้พูดคุยแสดงความคิดเห็น การให้แสดงความคิดเห็นไม่ใช่เพื่อการตัดสินถูกหรือผิด ความคิดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เมื่อเขาได้เล่าสิ่งที่คิดเป็นการได้สะท้อนถึงความเข้าใจของตัวเขาเอง หากเข้าใจไม่ตรงกับหลักการก็สามารถอธิบายในสิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญให้เข้าใจกระจ่างชัดขึ้นได้ แต่คนที่ไม่พูดต่างหากที่น่ากลัว เพราะเราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ หากเขาเชื่อมั่นว่าสิ่งที่คิดถูกต้องแล้ว การกระทำที่เกิดจากความคิดนั้นย่อมส่งผลกระทบได้มากกว่าความคิดอย่างแน่นอน การทำ Nursing care conference ครั้งนี้ อย่างน้อย ๆ ก็ได้เรียนรู้ร่วมกับนักศึกษาว่า ยังมีหลายสิ่งที่นักศึกษาไม่เข้าใจและเรียนรู้แบบท่องจำหรือเลียนแบบจากตัวอย่าง แต่ก็ต้องขอบคุณอาจารย์พยาบาลพี่เลี้ยงตึกศัลยกรรม ที่เป็นตัวอย่างที่ดีแก่นักศึกษา ทำให้เกิดการเรียนรู้จากตัวอย่างที่ดีๆ เพราะ “การเรียนรู้จากตัวอย่างที่ดีมีผลต่ออนาคตของชาติอย่างแน่นอน”

การฝึกปฏิบัติงานตลอดสองสัปดาห์ ณ หอผู้ป่วยศัลยกรรมได้สำเร็จลุล่วงไปด้วย D (แต่นักศึกษาหลายคนมีโอกาสได้ A อิอิอิ) ก่อนเสร็จสิ้นการฝึกปฏิบัติงาน ได้แจ้งนักศึกษาว่าจะมีการ Post test นักศึกษาต่างกระตือรือร้นเป็นการใหญ่ ในการอ่านหนังสือเพื่อสอบ แต่เสียดายที่ข้อสอบยากกว่านั้นมากนัก (อิอิอิ) ข้อสอบเป็นข้อสอบอัตนัย มีอยู่ 4 ข้อ ให้เขียนอธิบายตอบตามความเข้าใจของตนเอง ไม่จำกัดจำนวนหน้ากระดาษ (ใช้กระดาษหน้าเดียว เพราะเสียดายต้นไม้แต่ละต้นที่ต้องโดนตัด) คำถามคือให้อธิบาย

  1. ความประทับใจจากการฝึกปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยศัลยกรรมครั้งนี้
  2. ความภาคภูมิใจที่เกิดขึ้นในการฝึกปฏิบัติงานครั้งนี้
  3. สิ่งที่อยากปรับปรุงแก้ไขตนเองให้ดีขึ้น
  4. ความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า “การพยาบาลแบบองค์รวม การดูแลผู้ป่วยด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์”

เมื่อแจกกระดาษให้นักศึกษาทุกคนตั้งหน้าตั้งตาเขียนอย่างขะมักเขม้น บางคนแอบยิ้มไปเขียนไป บางคนหัวเราะออกมาขณะเขียนคำตอบลงในกระดาษ สิ่งที่ประทับใจในการสอบครั้งนี้คือ ทุกคนไม่สนใจที่จะเหลียวมองคนรอบข้าง ไม่สนใจที่จะลอกคำตอบของใคร ทั้งๆ ที่นั่งติดกัน บางคนตอบสั้น ๆ ได้ใจความ บางคนอธิบายยืดยาวจนต้องขอกระดาษเพิ่ม เวลาผ่านไปครบกำหนด นักศึกษาทุกคนส่งกระดาษคำตอบ ครูสะท้อนความคิดว่า ถ้าคำตอบทุกคนเขียนมาจากใจ จากความรู้สึกจริงๆ ของตนเอง นั่นคือคุณภาพการพยาบาลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

คำตอบของคำถามที่ 1 คือสิ่งที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกดีต่อการฝึกปฏิบัติงาน เมื่อไหร่ก็ตามที่เรานึกถึงคำตอบข้อนี้ นั่นแสดงว่าเราเกิดการเรียนรู้เพราะเราสามารถแยกแยะ วิเคราะห์สิ่งที่ดีๆ ได้ แต่ละหอผู้ป่วยยังมีอะไรดีๆ ให้เราได้เรียนรู้อีกมากมาย ความประทับใจนี้เองจะนำไปสู่ความเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ที่ดีได้

คำตอบของคำถามที่ 2 คือสิ่งที่จะทำให้เราเกิดความมั่นใจในการฝึกปฏิบัติงาน อะไรก็ตามที่เราทำสำเร็จ เราย่อมเกิดความภาคภูมิใจและมีแรงกระตุ้นให้เราทำในสิ่งที่ดี เมื่อใดก็ตามที่มีความภาคภูมิใจเกิดขึ้น ความวิตกกังวลหรือความกลัวจะค่อยๆ ลดลง ความมั่นใจจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น เราจะมีกำลังใจในการทำสิ่งดีๆ ต่อไปอีกมากมายในอนาคต

คำตอบของคำถามที่ 3 คือประเด็นสำคัญที่จะพัฒนาตัวเราเองให้ดียิ่งขึ้น คนที่มองเห็น ยอมรับข้อบกพร่องของตนเองและพยายามจะแก้ไขให้ดีขึ้นจะเป็นคนที่มีคุณภาพในอนาคตอย่างแน่นอน และสิ่งนี้เองจะทำให้เราเป็นที่ยอมรับของบุคคลอื่นและสามารถปรับตัวอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

    คำตอบของคำถามที่ 4 คือหัวใจของการพยาบาล คำตอบไม่ได้อยู่ที่ว่า ความหมายของคำเหล่านี้จะตรงกับพจนานุกรมเล่มใด หรือแนวคิดที่เขียนไว้ในหนังสือ แต่ถ้าเราเขียนตอบมาด้วยความเข้าใจของเราเอง นั่นคือสิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราคาดหวังว่า เราจะให้การพยาบาลต่อผู้ป่วย คำตอบที่ตอบมายังไม่ถูกต้องที่สุดหากเราไม่นำไปใช้ในการดูแลผู้ป่วยอย่างแท้จริง เมื่อใดก็ตามที่นักศึกษาให้การพยาบาลแก่ผู้ป่วย ครูอยากให้คิดถึงคำตอบข้อในข้อนี้เป็นสำคัญ เราทำได้อย่างที่เราคิดหรือไม่??? อย่างไร???

    ความประทับใจในการนิเทศครั้งนี้ คือ นักศึกษาได้ประเมินผลเป็นคำพูดว่า “พวกหนูมีความสุขในการฝึกปฏิบัติงานครั้งนี้ค่ะ” คำว่า “ความสุข” แค่คำเดียวครูก็ภูมิใจแล้วว่า นักศึกษาของครูเกิดการเรียนรู้ด้วยความเข้าใจและไม่ยากเลยที่จะเป็นพยาบาลพันธุ์ใหม่ที่มีหัวใจเปี่ยมล้นด้วยความเอื้ออาทร (JJJ)

 


 


อุดมศึกษาร่วมสร้างประเทศไทยน่าอยู่

2 ความคิดเห็น โดย noina เมื่อ 16 December 2010 เวลา 11:46 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2370


“อุ ด ม ศึ ก ษ า ร่ ว ม พั ฒ น า ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย น่ า อ ยู่”

13 – 15 ธั น ว า ค ม 2553

สืบเนื่องจากการมีโอกาสได้เข้าร่วมประชุมวิชาการระดับชาติของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาแห่งชาติ (สกอ.) ระหว่างวันที่ 13-15 ธันวาคม 2553 โดยมีหัวข้อการประชุมครั้งนี้ว่า “อุดมศึกษาร่วมพัฒนาชาติไทย” เห็นหัวข้อแล้วก็น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ในฐานะผู้รับผิดชอบงานประกันคุณภาพการศึกษาของหน่วยงานได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมประชุมอย่างเป็นทางการ งานนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คุณชินวรณ์ บุญยเกียรติ เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมทั้งแสดงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ปฏิรูปอุดมศึกษาปฏิรูปประเทศไทย” สรุปสาระสำคัญได้คือ การจะพัฒนาประเทศได้นั้น จะต้องพัฒนาการศึกษาให้มีมาตรฐานโดยประกอบด้วย

กรอบแนวคิดที่สำคัญ ได้แก่

  • การยกระดับมาตรฐานและคุณภาพการศึกษา
  • สร้างโอกาสและความเสมอภาคของผู้เรียน
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกหน่วยงานให้มีบทบาทและส่งเสริมสนับด้านการศึกษา

เป้าหมายที่สำคัญ ประกอบด้วย

  • การสร้างพลเมืองยุคใหม่ บัณฑิตยุคใหม่ ให้ใฝ่รู้ ใฝ่ดี คิดเป็น ทำเป็น แก้ไขปัญหาเป็น รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
  • พัฒนาครูยุคใหม่ ครูพันธุ์ใหม่ ที่เก่ง มีความสามารถ มีจิตวิญญาณความเป็นครู สร้างครูของครูที่มีคุณภาพ
  • พัฒนาสถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ใหม่ โดยพัฒนาคุณภาพมาตรฐานของโรงเรียนในชุมชนให้สอดรับบริบทของชุมชน โรงเรียนระดับ

มัธยมศึกษาในท้องถิ่นสามารถดึงนักเรียนให้ศึกษาในโรงเรียนของท้องถิ่นตนเอง สถาบันอาชีวศึกษา ต้องพัฒนาฝีมือแรงงานชั้นกลาง ต้องต่อยอดคนเก่งไปเรียนในระดับสูงขึ้นไป การศึกษาระดับอุดมศึกษาสามารถยกระดับเป็น World class university และ Research university

  • พัฒนาระบบบริหารจัดการยุคใหม่ ปฏิรูประบบการเงินที่สะท้อนคุณภาพ

ผู้เรียน มุ่งเน้นการส่งเสริมความเป็นอิสระแก่สถาบันการศึกษามากขึ้น ทั้งนี้มหาวิทยาลัยทุกแห่งยึดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สำคัญ 5 ข้อ ได้แก่

  1. พัฒนาวิชาการ รับใช้สังคม ให้ความจริง ความรู้กับสังคม
  2. หนึ่งมหาวิทยาลัยหนึ่งจังหวัด กล่าวคือ สถาบันอุดมศึกษาในจังหวัดร่วมกันดำเนินการงานในทุกระดับ
  3. จัดตั้งศูนย์จัดการความรู้เพื่อพัฒนาจังหวัด
  4. การสร้างความเป็นพลเมืองของนิสิตนักศึกษา
  5. ยุทธศาสตร์การสร้างบรรยากาศในการปรับตัวของสถาบันการศึกษาเพื่อสังคมที่จำเป็น

อย่างไรก็ตามประเด็นสำคัญอยู่ที่ผู้สอน หากผู้สอนสามารถเป็นตัวอย่างที่ดี มีความสามารถ และมีจิตวิญญาณความเป็นครู บัณฑิตพันธุ์ใหม่ย่อมจะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยให้น่าอยู่ได้ในอนาคต

นอกจากนี้ยังมีการประกาศเกียรติคุณสถาบันที่มีระบบประกันคุณภาพที่ได้มาตรฐาน โดยแบ่งเป็น

รางวัลสถาบันที่มีระบบประกันคุณภาพดีเลิศ ได้แก่

  1. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  2. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  3. มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต

รางวัลสถาบันที่มีระบบประกันคุณภาพดีเด่น ได้แก่

  1. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
  2. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
  3. มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
  4. วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีราชบุรี

รางวัลแนวปฏิบัติดีเด่น

  1. วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล

ยังแอบดีใจอยู่ลึก ๆ ว่าวิทยาลัยพยาบาลก็ยังมีผลงานด้านการประกันคุณภาพการศึกษาอยู่ในระดับแนวหน้าระดับประเทศเหมือนกัน…..อิอิอิ


 


บทเรียนนอกตำรา

3 ความคิดเห็น โดย noina เมื่อ 16 December 2010 เวลา 9:30 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2064



ปฏิบัติการพิสูจน์ความจริงครั้งนี้ เริ่มต้นในเย็นวันแรกที่ไปถึง ได้รู้จักบรรดามิตรรักแฟนเพลงชาวเฮฮาศาสตร์ เพิ่มเติม ทั้งหมอเจ๊ผู้มากประสบการณ์การเรียนโลก ครูปูครูพันธ์ก๊ากที่รักของลูกศิษย์ พี่ราณีผู้ใจดีและรักสุขภาพ ครูสุคนสวยผู้เสียสละนั่งสนทนามาด้วยตลอดทาง นอกจากนี้ยังได้รู้จัก อาจารย์หมอน้อย (ชื่อนี้คนนิยม JJJ) อาจารย์หมอป่วนตัวจริงเสียจริง คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จากวิทยาลัยแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พอมาถึงสวนป่าก็ฝากเนื้อฝาก ตัวพอเป็นพิธี เพื่อสร้างความคุ้นเคยกัน

บทเรียนบทที่แรกของการมาสวนป่าครั้งนี้ได้แก่ การดวลรับประทานสะเดาน้ำปลาหวาน (แค่บทที่หนึ่งก็ยากแล้ว L) ไม่อยากจะสารภาพเลยว่าการรับประทานสะเดาครั้งนี้เป็นครั้งแรก ด้วยเหตุที่ไม่เคยคิดจะพิศวาสรสชาติขมของสะเดาเลย แต่ทำไงได้ล่ะ ไหนๆก็มาถึงที่แล้วหลับหูหลับตารับประทานกะเขาไปก่อน คิดเสียว่าสงสารกระเพาะอาหารละกัน แหม..มองใคร ๆ ก็ตั้งหน้าตั้งตาหม่ำสะเดายังกะขนมหวาน จะมีก็แต่นักศึกษาแพทย์และตัวเรากระมังที่พยายามสุดๆ ครั้งนี้ สะเดามีรสชาติขม ก็จริงแต่พอรับประทานกับน้ำปลาหวานมันช่างกลมกล่อมแบบลงตัว อืมมม.อร่อยดีเหมือนกันนี่นา มองหน้าครูปูดูช่าง enjoy eating ซะจนสะเดาตรงหน้าหมดไปทั้งจาน มองดูนักศึกษาแพทย์บางคนช่างมีน้ำใจเสียเหลือเกินที่อุตส่าห์เอื้อเฟื้อจานสะเดาและน้ำปลาหวานให้กับสตรีและคนชรา (JJJ)
หลังอาหารมื้อค่ำที่อิ่มหนำสำราญ บทเรียนบทที่ 2 ก็เริ่มขึ้น เป็นการพบปะพูดคุยและทำความรู้จักกัน สังเกตดูหน้าตาน้องนักศึกษาแต่ละคนยังดูกังวลเล็กน้อย แต่พอได้พูดคุยกันจึงเข้าใจเพราะมีนักศึกษาคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า กังวลที่จะได้มาปฏิบัติธรรมที่สวนป่า เพราะเข้าใจว่ามีพระอาจารย์ชื่อ “ครูบาสุทธินันท์” (JJJ) อีกหลายคนวิตกกังวลเรื่องที่จะสอบในวันจันทร์หน้า วงสนทนาค่ำคืนนี้ยังดูกร่อยๆ เพราะแต่ละคนยังไม่พร้อม และไม่ปล่อยวางความรู้สึกของตนเอง

วันที่ 2 สมาชิกชาวเฮฮาศาสตร์เดินทางมาเพิ่มอีก 1 คน คือ พี่อิงสาวสิบล้อผู้มากด้วยความกล้าเดินทางมากับความมืด (JJJ) เช้าวันนี้เริ่มบทเรียนบทที่ 3 โดยครูบาได้นำคณะนักศึกษาทัศนาสวนป่าที่รื่นรมย์ เล่าความเป็นมาของสวนป่าพอสังเขป กว่าจะมาเป็นสวนป่าแห่งนี้ในปัจจุบันได้ต้องใช้เวลานานหลายปี ชีวิตของครูบาเรียนรู้ด้วยวิธีการลองผิดลองถูก เรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรง ความผิดพลาดหลายครั้งจากการปลูกต้นไม้ และเผาถ่าน บทเรียนที่ได้สอนให้คิดหาวิธีการต่างๆ ที่แตกต่างออกไป ผลที่ได้คือความภาคภูมิใจในสวนป่าแห่งนี้ ครูบาสามารถบอกวันเดือนปีเกิดของต้นไม้ในสวนป่าได้แทบทุกต้น การเดินชมสวนป่าทำให้ได้รู้จักกับ “ต้นพระเอก” ของยางนา “ต้นนางเอก” ของสะเดา เหตุของการได้รับฉายานี้เพราะมีลำต้นตรง สูงใหญ่ ไม่มีกิ่งก้านที่แตกแขนงแยกย่อยให้ยุ่งเหยิง ครูบาเล่าให้ฟังว่าต้นไม้ทุกต้นโตไม่เท่ากัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 20 ปี ต้นไม้ทุกต้นจะมีขนาดใกล้เคียงกัน ต้นไม้ในสวนป่ามีมากมายหลายพันธุ์ ระยะห่างระหว่างต้นที่ใกล้กันส่งผลให้ต้นไม้แต่ละต้นแข่งขันด้านความสูงเพื่อรับแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของการสังเคราะห์แสง ไม่ต่างอะไรกับคนเราที่มีการแข่งขันเพื่อการดำรงชีวิต ต้นไม้มีการปรับตัวในการเจริญเติบโตในสวนป่าเช่นเดียวกับคนเราที่มีการปรับตัวในสังคม

บทเรียนที่ 4 เริ่มต้นหลังจากรับประทานอาหารมื้อเช้า นักศึกษาได้ถูกจัดกลุ่มใหม่โดยแยกออกเป็น 2 กลุ่ม และเรียนรู้ชีวิตผ่านการสะท้อนมองดูตัวเองโดยมีกิจกรรมเป็นสื่อการเรียนรู้ กิจกรรมทิ้งไพ่ เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักศึกษาเรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจคนอื่นด้วยเหตุผล เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันโดยไม่คิดตัดสินคนอื่นจากสิ่งที่มองเห็น ซึ่งนักศึกษาหลายคนประทับใจกิจกรรมนี้มาก ส่วนอีกด้านหนึ่งจัดกิจกรรมพักสมอง โดยให้นอนฟังเพลงจนเผลอหลับไป หลักการของกิจกรรมนี้เป็นการเตรียมความพร้อมของสมองให้พร้อมบันทึกข้อมูลต่างๆ การพักสมองโดยการนอนหลับเปรียบดั่งการ reset หน่วยความจำให้ว่างสำหรับเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ นักศึกษาหลายคนชอบกิจกรรมนี้อย่างลึกซึ้ง สังเกตจากการหลับลึก(ลึกซึ้งซะจนปลุกไม่ตื่น JJJ)

บทเรียนที่ 5 เฮฮากับเมนูอาหารมื้อเย็น นักศึกษาหลายคนตื่นเต้นกับบทเรียนบทนี้ เพราะเป็นการทำอาหารมื้อแรกในชีวิต ทุกคนร่วมแรงแข็งขันในการสวมบทครูกุ๊ก เมนูมื้อนี้ประกอบด้วย น้ำพริกกะปิตะลิงปิง ผัดผักบุ้งไฟแดง ต้มจืดฟักกระดูกหมู และไข่เจียวพิสดาร ผลจากความสามัคคีครั้งนี้ส่งผลให้รสชาติอาหารเป็นที่ถูกอกถูกใจใครหลายๆ คน ความอิ่มอร่อยของอาหารไม่เทียบเท่าได้กับความอิ่มอกอิ่มใจของบรรดาผู้มีส่วนร่วมทั้งหลาย บางคนถึงกับแสดงตนถึงการมีส่วนร่วมเมื่อพบว่า ไข่เจียวพิสดารนั้นหมดเกลี้ยงทุกจาน “ฝีมือหนูตอกไข่เองค่ะอาจารย์”

เช้าวันที่ 3 ร่วมสรุปบทเรียนจากการเรียนรู้นอกห้องเรียนทั้งหมด นักศึกษาทุกคนได้ถ่ายทอดออกมาเป็นเสียงเล็กๆ ของตนเองด้วยความภูมิใจ สีหน้าและแววตาในวันนี้ช่างแตกต่างจากวันแรกที่มา แววตาในวันนี้บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ มีประกายไฟแห่งความมุ่งหวัง จึงมั่นใจได้ว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าบรรดาคุณหมอตัวน้อยๆในวันนี้จะเป็นกำลังสำคัญที่จะดูแลและส่งเสริมสุขภาพของผู้คนสี่จังหวัดอีสานตอนใต้ให้มีสุขภาวะที่ดีขึ้นจากวันนี้อย่างแน่นอน ……..


 


บันทึกของคนใจง่าย

9 ความคิดเห็น โดย noina เมื่อ 16 December 2010 เวลา 1:17 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3082

เหตุเกิดจากความบังเอิญหรือเพราะพรหมลิขิตก็ไม่อาจทราบได้ ที่ทำให้คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ได้มารู้จักพูดคุยกัน แม้จะเป็นแค่ในโลกเสมือนผ่านการสนทนาทาง MSN และ Face book

แต่การสนทนาอย่างออกรสออกชาตินำมาซึ่งความคุ้นเคยกันดั่งญาติสนิทมิตรสหาย อาจจะเป็นเพราะพื้นฐานเป็นคนชอบเฮฮา สนุกสนาน ชอบกวนคนอื่นให้มีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะและมีความสุข แต่ไม่ถึงขั้น กวน มีน โฮ แต่อย่างใด เป็นได้แค่ กวน มึน ฮา เท่านั้นเอง (กวนนิดๆ ทิ้งเวลาคิดพอมึนๆ และสุดท้ายก็จะเกิดอาการฮาและขำภายในเวลาไม่นานนัก ถ้าใครที่เส้นประสาทรับความขำอยู่ตื้นก็จะปล่อยก๊ากกก แบบเฉียบพลัน แต่ในคนที่เส้นประสาทเส้นนี้อยู่ลึกนิดนึงก็จะขำแบบค่อยๆเป็น ค่อยๆ ไป)

ด้วยความประทับใจในคารมคมคายของคุณหมอจอมป่วน อาจารย์พยาบาลกวนมึนฮา ก็เลยเกิดความสนใจ ใคร่อยากจะรู้จักกลุ่มเฮฮาศาสตร์ ขึ้นมาในทันใด คนกลุ่มนี้เป็นฉันท์ใดหนอ คงจะมีแต่คนอารมณ์ดีเป็นที่ตั้ง และคงเป็นกลุ่มของคนที่มองโลกในแง่ดี มีความเฮฮาสนุกสนาน ปฏิบัติการชักจูงใจจึงเกิดขึ้น (ขอย้ำชักจูงใจไม่ใช่..จมูก อิอิอิ )

ไอ้เราเองก็เป็นคนประเภท อยากรู้อยากเห็นไม่ใช่สอดรู้สอดเห็นนะ เพราะคนละความหมายกัน ตามประสานิสัยส่วนตัวเป็นคนไม่เรื่องมากใครเขาชวนไปไหน ถ้าสนใจมาก ๆ ไปได้ก็ไปกัน (ไม่แน่ใจว่าความหมายจะใกล้เคียงคำว่าใจง่าย รึเปล่านะ อิอิอิ) การเข้าร่วมเป็นสมาชิกอย่างไม่เป็นทางการก็เริ่มต้นขึ้น

สิ่งแรกที่อยากเรียนรู้ร่วมกับกลุ่มเฮฮาศาสตร์ คือปฏิบัติการพิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง โบราณว่าไว้ ตาเห็นไม่เท่ามือคลำ แต่เรามีทั้งตาและมือจึงอยากจะเห็นและคลำไปพร้อม ๆ กัน เมื่อคุณหมอจอมป่วนเชิญชวนให้ไปเยี่ยมชมสวนป่าท่านครูบาสุทธินันท์ ในระหว่างวัน 10-12 ธันวาคม 2553 เพราะมีกิจกรรมน่าสนใจ เมื่อได้รับคำท้า อ้อไม่ใช่ คำเชิญ คนใจกล้าอย่างเราจึงตอบตกลง นี่คือที่มาที่ไปของฉายา “ใจง่าย” ที่ถูกยัดเยียดให้จากสมาชิกชาวสวนป่าครั้งนี้

ตอนแรกวางแผนว่าจะไปพร้อมกับคณะคุณหมอจอมป่วนและคณะที่มาจากจังหวัดพิษณุโลก แต่ได้รับแจ้งถึงภารกิจที่ต้องไปประชุมวิชาการประจำปี ของ สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา ระหว่างวันที่ 13-15 ธันวาคม 2553 โดยต้องเดินทางวันที่ 12 ธันวาคม จึงขอขับรถมาที่สวนป่า อำเภอสตึกเอง โดยได้รับความอนุเคราะห์จากครูสุคนสวยที่อุตส่าห์เสียสละมาเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้ เพราะกลัวจะเหงาและกลัวจะง่วงครั้นจะนั่งมาคนเดียว การเดินทางสนุกสนานเพราะมีการสนทนากันมาตลอดทาง และได้ทำความรู้จักความเป็นมาของชาวเฮฮาศาสตร์ผ่านคำบอกเล่าของครูสุนั่นเอง ทำให้คิดว่าประสบการณ์ที่จะได้รับต่อไปนี้จากความใจง่ายของตัวเองครั้งนี้คงจะไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

การเดินทางมาอำเภอสตึกครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่นับไม่ถ้วน เพราะมาบ่อยมาก มีญาติอยู่ที่อำเภอสตึกก็หลายคน แต่เหตุใดเลยข้าพเจ้าจึงไม่เคยรู้จักสวนป่าครูบาสุทธินันท์ เคยได้ยินแค่เพียงชื่อเสียงเรียงนามของท่านเท่านั้นเอง เรานี่ใกล้เกลือแต่กลับกินด่างแท้ๆ

การเดินทางไปสวนป่าทำให้เกิดอาการตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะต้องลุ้นตลอดทางว่าข้างหน้าจะตกหลุมเล็กหรือหลุมใหญ่ เอ..นี่มันทางไปสวนป่ารึพื้นผิวบนดวงจันทร์กันแน่ หลุมเล็กหลุมใหญ่บนท้องถนนส่งผลต้องให้คนขับมีสติและสายตาที่กว้างไกล หลุมเล็กอยู่ข้างซ้าย หลุมใหญ่อยู่ข้างขวา เอ ตกลงจะเสี่ยงตกหลุมไหนดีเนี่ย ????? การเจ็บก้นครั้งแล้วครั้งเล่าจากแรงกระแทกของการตกหลุม สอนให้เรารู้จังหวะของขับรถอย่างระวัง เฉกเช่นเดียวกับการใช้ชีวิตเราต้องรู้จักจังหวะของมันจึงจะทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่น การเดินทางครั้งนี้สอนให้รู้ว่า การจะไปสู่จุดหมายอะไรก็ตาม เส้นทางที่เราเดินไปอาจจะไม่ได้สวยสดงดงามไปตลอดของถนนสายนั้น อุปสรรคในระหว่างทางอาจมีอยู่รายรอบ เราต้องอาศัยความกล้า เชื่อมั่นและอดทนที่จะเผชิญกับมัน หากเราล้มเลิกความตั้งใจเพียงแค่เจออุปสรรคหรือปัญหาเพียงเล็กน้อย เราอาจจะพลาดในสิ่งที่สวยงามที่เราคาดหวังและคงไม่มีเรื่องเล่าระหว่างทางที่จะเก็บเอามาเป็นประสบการณ์ชีวิตและถ่ายทอดบทเรียนสู่คนอื่น

ในที่สุดก็ขับรถมาถึงทางเข้ามหาชีวาลัยอิสาน เจอรถบัสมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีที่พยายามจะเลี้ยวเข้าสวนป่าแต่ด้วยทางที่แคบมากและถนนเป็นดินทรายล้วนๆ ทำให้ยากลำบากในการขับรถคันใหญ่เข้ามา นักศึกษาทั้งหลายจึงตัดสินใจทยอยเดินกันเข้ามาที่สวนป่าเอง บรรยากาศของสวนป่าช่างร่มรื่นเสียจริง มีต้นไม้นานาพันธุ์ เต็มไปหมด

บอกไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง รู้แต่ว่าหลากหลายละรื่นรมย์ สายลมเย็นๆ พัดมากระทบผิวกายแผ่วๆ ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ลืมอาการเจ็บก้นกระแทกเมื่อครู่ไปหมดสิ้น ไม่อยากจะเชื่อว่าสวนป่าที่เคยได้ยินแต่ชื่อจะน่าอยู่ได้เพียงนี้

เหมือนหลุดออกมาอยู่อีกโลกหนึ่ง โลกแห่งสีเขียว มองไปทางใดมีแต่ต้นไม้ ถ้าที่ทำงานร่มรื่นน่าอยู่แบบนี้ เราคงไม่จำเป็นต้องเงินเสียค่าแอร์เดือนละหลายร้อยบาท ไม่จำเป็นต้องทาครีมกันแดด ค่า SPF สูงๆ หลอดละหลายสตางค์ เพราะแดดในสวนป่า

ไม่ค่อยร้อนด้วยมีร่มเงาจากต้นไม้ช่วยบดบังให้ เสียงนกร้องไพเราะยิ่งกว่าเสียงเพลงตามสายเสียอีก มองเห็นผู้ใหญ่คนหนึ่งท่าทางจะใจดี ใบหน้าที่ยิ้มแย้มต้อนรับผู้มาเยือนพร้อมด้วยแววตาแห่งความยินดี คนนี้กระมัง “ครูบาสุทธินันท์” แอบกระซิบถามครูสุด้วยเสียงเบาๆ เพราะกลัวจะเผลอปล่อยไก่เข้าสวนป่า เมื่อได้รับคำยืนยันจากครูสุดังนั้นจึงไม่รอช้าที่จะสวัสดีทักทายและหาโอกาสสนทนาถึงความน่าสนใจของสวนป่า โลกสีเขียวแห่งนี้ เอ..ชักจะรู้สึกชอบที่นี่เสียแล้วสิ

คิดไม่ผิดแล้วล่ะที่เราตกลงปลงใจมาที่นี่เอาเสียง่ายๆ ใครจะหาว่าใจง่ายก็คงไม่แคร์สื่อแล้วล่ะ เพราะตอนนี้เริ่มมีอาการตกหลุมรักโลกสีเขียวแห่งนี้แล้วจริง ๆ ???????




Main: 0.39632201194763 sec
Sidebar: 0.31730198860168 sec