6 ธันวาคม 2011 / 584 ความคิดเห็น » / โดย kasapop
อ่าน: 6095
เรียนครูบาสุทธินันท์
เนื่องด้วยติดตามผลงานของครูบามาแสนนาน มีโอกาสอันเหมาะจึงติดต่อผ่านครูปูขอไปกราบคารวะตัวจริงสักที จะไปขอชิมชาสะระแหน่ให้ชื่นใจสักถ้วยนะขอรับ ทั้งนี้จึงเป็นที่มาให้ต้องมาเขียนใบสมัครดังนี้
ชื่อ นายกษภพ ประภัสพงษา และครอบครัว อันประกอบไปด้วย 1 คนท้อง 1 คนแก่(70+) กับ 1 คนอ้วนคือข้าพเจ้าเอง
พื้นหลังที่มาที่ไป ก็เป็นคนทำงานกินเงินเดือนหาเช้ากินค่ำธรรมดา หลงเชื่อมาเกือบตลอดชีวิตว่าต้องไปอยู่ในเมือง มีบ้านหลังโตๆ รถคันใหญ่ๆ ทำงานทั้งปีขอไปสูดอากาศดีดีสักปีละครั้งก็สุดยอดแล้ว และคงเป็นเช่นนั้นต่อไปถ้าหากไม่มีวาสนาได้พบกับพระอาจารย์ที่เคารพอย่างยิ่ง สอนแบบตอกหน้าหงายทั้งจากมุขและจากคำด่าจนได้คิด เริ่มอยากจะมีชีวิตที่เป็นชีวิตสักครั้งจะได้ไหม ศรีทนไม่ได้แล้วนะจะบอกให้
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาตินั้นเรียงไปตามลำดับเลยนะครับ คนแก่เก่งมากอยู่กับต้นไม้ใบหญ้ามาตั้งแต่เด็กแต่ก็เริ่มจะเลือน คนท้องพอไปได้ยังมั่วไหว คนอ้วนน่าสงสารที่สุดแยกไม่ออกว่าเป็นต้นมะม่วงถ้าไม่เห็นผลมัน
ความคาดหวัง อยากมีสวนป่าของตัวเองบนที่หนึ่งไร่ ใช้อยู่ใช้กินใช้เลี้ยงครอบครัว แต่จนด้วยเกล้าไม่รู้จะเริ่มเช่นไร
ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาให้ขอสมัครไปที่สวนป่า เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นคนขยัน จึงเริ่มจากการขอไปนอนเล่นให้ชื่นใจ เผื่อจะดูดเอาความรู้มาจากครูบาได้บ้าง เถิดเอย
ป.ล. พระอาจารย์ของกระผมก็คืออาจารย์วรภัทรที่ครูบาคงจะพอคุ้นเคยเป็นอย่างดีอยู่แล้วครับ
ป.ล.2 เชื่อว่าครูบาจะต้องเข้ามาอ่านแน่ๆ อิอิ
กราบคารวะด้วยความเคารพยิ่ง
ในหมวดหมู่: สิ้นคิด
9 ตุลาคม 2011 / 213 ความคิดเห็น » / โดย kasapop
อ่าน: 3470
ได้รับมาจากครูบาอาจารย์ จึงนำมาบอกต่อครับ ด้วยความปราถนาดี
สืบเนื่องจากสภาวะภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและทั่วโลกขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นนำ้ท่วม พายุรุนแรง แผ่นดินไหว ไฟป่า แผ่นดินถล่ม ล้วนเป็นสัญญาณเตือนจากธรรมชาติว่ามนุษย์รุกล้ำกฏธรรมชาติ ใช้สมบัติของโลกอย่างไม่รู้คุณค่า ไม่รู้รักษา ด้วยความละโมบโลภมาก หากมนุษย์ยังขาดสำนึก ความเข้าใจ และความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่ได้กระทำไปแล้ว ทั้งโดยความประมาทหรือโดยความโลภ แต่กลับคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความโชคร้าย ภัยพิบัติธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ขอให้พวกเราทั้งหลายได้รู้สำนึกและตระหนักถึงความผิดพลาดที่เราได้กระทำต่อธรรมชาติ ต่อผืนแผ่นดิน ต่อผืนแผ่นน้ำ ต่อข้าวปลาอาหาร ซึ่งเป็นความเกื้อกูลของธรรมชาติ ผู้ตระหนักรู้แล้วยอมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่หันกลับมาใช้ทุกสิ่งอย่างรู้คุณค่า อย่างรู้บุญคุณ อย่างรู้รักษา ไม่กระทำผิดซ้ำก็จะทำให้สถานการณ์ร้ายต่างๆ ในขณะนี้ และที่กำลังจะเกิดในอนาคตอันใกล้บรรเทาเบาบางลง
เพื่อสร้างแรงสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกในทางบวกต่อธรรมชาติของตนเอง คนรอบตัวและสังคม จึงขอเชิญชวนทุกคนมาร่วมตั้งสัจจะภาวนา เพื่อวิถีแห่งความรอดพ้นจงบังเกิดแก่ผู้ภาวนาทุกคน
คำสัจจะภาวนา
ข้าพเจ้าทั้งหลายกราบขอขมากรรมต่อองค์ท้าวไท อันมีพระแม่ธรณี พระแม่คงคา พระแม่โพสพ และองค์พระอิศวร ต่อการที่พวกข้าพเจ้าทั้งหลายได้กระทำการผิดพลาดล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ ทั้งตั้งใจก็ดีไม่ตั้งใจก็ดี ในการเบียดเบียนธรรมชาติ กินใช้อย่างทิ้งขว้างไม่เห็นคุณค่า
บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายระลึกได้ถึงความผิดพลาดและสำนึกผิด จึงขอความเมตตากรุณา จากองค์พระแม่ธรณี พระแม่คงคา พระแม่โพสพ และองค์พระอิศวร ให้ลดโทษ คลายทุกข์ และปลดปล่อยกรรมที่ข้าพเจ้าและเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายได้กระทำผิดไปแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าและเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย รอดพ้นจากภัยพิบัติธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในขณะนี้และภายภาคหน้า
หากเหตุการณ์วิกฤติครั้งนี้ได้รับการแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีในเวลาไม่นาน แล้วมนุษย์ผู้ใดกลับมากระกระทำความผิดซำ้ซาก ภัยพิบัติคร้ังหน้าจะรุนแรงร้อยเท่าพันทวี แต่แม้นผู้ใดมีจิตระลึกได้และแก้ไขการกระทำ ขอให้รอดปลอดภัยจากภัยพิบัติทางธรรมชาติทุกประการเทอญ
ในหมวดหมู่: สิ้นคิด
4 ตุลาคม 2011 / 179 ความคิดเห็น » / โดย kasapop
อ่าน: 3700
เหตุเกิดเมื่อวันนี้เอง สดๆร้อนๆ ระหว่างเดินทางไปดูงานบนเส้นทางจากกาญจนบุรีไปสุพรรณบุรีเส้นบ่อพลอย รายละเอียดเหตุการณ์ไม่ขอเล่าเพราะไม่อยากบรรยาย แค่มาแชร์ความรู้สึกว่าจิตตกไปทั้งวันเลยก็ว่าได้ครับ แม้นเจตนาไม่ได้มีแต่ก็ทำให้ชีวิตหนึ่งต้องสิ้นไป สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือตั้งใจมีชีวิตต่อไปให้ดีที่สุด เรียนรู้และปฏิบัติให้เต็มที่เพื่ออุทิศให้แก่พวกเขา แทนที่จะให้การตายนั้นมาทำให้ใจเราเศร้าหมองยิ่งต้องใช้เหตุการณ์นี้มาเป็นตัวอย่างและบทเรียนให้กับตัวเรา สร้างความสว่างในจิตใจเพื่อที่เขาจะได้อาศัยไปต่อตามหนทางของตนอย่างดีที่สุดต่อไป
หยิบมาฝากจากสำหรับคนที่มีประสบการณ์เช่นกันไว้อ่านทำความเข้าใจครับ - แบบกาลามสูตรนะครับ
ศีลข้อ ๑ มีองค์ ๕ คือ
๑. *ปาโณ สัตว์มีชีวิต
๒. ปาณสญฺญิตา รู้ว่าสัตว์มีชีวิต
๓. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า
๔. อุปกฺกโม เพียรเพื่อจะฆ่า
๕. เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความเพียรนั้น
http://larndham.org/index.php?/topic/25239-แฟนขับรถชนหมาตาย/
ในหมวดหมู่: สิ้นคิด
23 กันยายน 2011 / 233 ความคิดเห็น » / โดย kasapop
อ่าน: 3932
ถ้าอีก 25 ปี ผมจะมีอายุหกสิบและสมมุติว่าผมตายพอดีตอนนั้นแสดงว่าตอนนี้ผมมีเวลาเหลืออีกสิบสามล้านหนึ่งแสนสี่หมื่นนาที
เท่ากับว่าผมมีงบชีวิตทั้งหมดสามสิบเอ็ดล้านห้าแสนสามหมื่นหกพันนาที ใช้ไปแล้วทั้งหมดห้าสิบแปดจุดสามสิบสามเปอร์เซ็นตร์หรือสิบแปดล้านสามแสนเก้าหมื่นหกพันนาที
ถ้าเกษียณตอนห้าสิบห้า แสดงว่าเวลาที่เหลือทั้งหมดของผมจะต้องถูกใช้ไปแลกเงินทองเพื่อเอามากินมาใช้อีกประมาณ 2/5 ของวัน หรือมากกว่านั้น ประมาณการเป็นตัวเลขแล้วมากกว่าสี่ล้านนาที หมดไปกับการพักผ่อนอีก 1/3 ของวัน คำถามคือจะเหลือเวลาให้กับตัวเองจริงๆ ให้กับครอบครัว ให้กับคนที่รักกี่นาที แล้ววันนี้ใช้มันคุ้มค่าหรือยัง
จริงๆแล้ว สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดของเราคือลมหายใจกับเวลาใช่หรือไม่ ลมหายใจบ่งบอกว่ายังมีชีวิตอยู่ เวลาเป็นตัวแทนของการเดินทาง แต่หลายคนให้คุณค่ากับเวลาที่ไม่มีวันได้คืนเพียงแค่เงินไม่กี่หมื่นกี่แสน พิงอยู่บนความหวังอันง่อนแง่นว่าอีกไม่นานจะถึงเวลาแห่งความสุขความสบาย ทั้งที่เวลาแห่งความสุขนั้นหมดไปเรื่อยๆจนสุดท้ายก็ไม่เหลือเวลาแห่งความสุขเมื่อตระหนักว่าเวลาเหลือน้อยเกินกว่าที่จะมีความสุขได้อีกต่อไป
บางคนบอกว่าความสุขของคนเรานั้นต่างกัน ขอเถียงว่าไม่จริงเลย ความสุขของทุกคนเหมือนกันคือทุกข์ให้น้อยที่สุดเท่านั้นเอง ถ้าเอาเวลาที่เหลืออยู่มาประมาณมูลค่าใหม่แล้วจะพบว่า เราไม่ควรเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ได้ช่วยให้เรามีความสุขเลยแม้แต่น้อย มุมมองแห่งคุณค่าของเราจะเปลี่ยนไปการตัดสินใจก็จะชัดเจนและมีแนวทางมากขึ้น รู้ว่าอะไรดีที่สุดกับชีวิตจริงๆ ควรเลือกทางเดินไหนให้กับชีวิตของเรา
หากเปรียบชีวิตเป็นการเรียนรู้ คงไม่มีใครอยากเรียนไปเรื่อยๆไม่มีวันจบ เรียนมาครึ่งชีวิตเพื่อพบว่าสิ่งที่เรียนมานั้นไม่ใช่คำตอบต้องไปหาเรื่องเรียนใหม่แต่เวลาก็เหลือน้อยลงๆทุกที ศาสตร์ทุกศาสตร์บนโลกนี้เรียนอย่างไรก็ไม่มีวันจบต้องเรียนต่อไปเรื่อยๆไม่มีวันหยุด ผลที่ได้ก็ไม่เคยมีวันพอ ยกเว้นแต่เรื่องการจัดการความทุกข์ที่พระพุทธเจ้าทรงเมตตาสั่งสอนสรรพสัตว์เท่านั้นที่จะสามารถเรียนจนจบได้จริง ผลที่ได้เป็นที่สุดได้จริง คือการไม่ทุกข์อีกเลยอย่างถาวร
***
เขียนขึ้นจากแรงบันดาลใจในชีวิตของตนเองและผองเพื่อนเหล่ามนุษย์เงินเดือนในเมืองกรุง ที่เอาสุขภาพแลกกับสิ่งที่เราเรียกว่าความสำเร็จ เอาเวลาที่ไม่มีเหลือแล้วนี้แลกกับความก้าวหน้าทางอาชีพ กับการตัดสินใจย้ายไปอยู่ศูนย์ประจำภาคเปิดใหม่ที่ต่างจังหวัด ที่บ้านเกิดของตน ได้เงินเดือนระดับเดิมซึ่งสุดยอดแล้วในความคิดผมแต่ไม่ใช่ในความคิดเขาเพราะเสียดายโอกาสเติบโตในเมืองกรุง ส่วนผมเสียดายเวลาที่อยู่ในเมืองกรุง มุมมองของแต่ละคนต่างกันที่การไม่รู้เท่านี้เอง
ป.ล. เรื่องการเรียนไม่จบได้แรงบันดาลใจจากการฟังคำสอนของหลวงพ่อคำเขียนระหว่างเดินทางในรถทุกวัน ^^
ในหมวดหมู่: สิ้นคิด
20 เมษายน 2011 / 191 ความคิดเห็น » / โดย kasapop
อ่าน: 3818
เดี๋ยวนี้คนเราใส่ใจในสุขภาพมากขึ้น มีความรู้และตั้งข้อสงสัยต่อการดูแลสุขภาพกันมากขึ้น มีทางเลือกที่หลากหลายทั้งแบบแผนปัจจุบันที่เน้นเคมีเข้ามาแทรกแซงการทำงานของร่างกายเป็นหลัก กับแบบทางเลือกที่เน้นส่งเสริมให้ร่างกายสามารถทำงานซ่อมแซมและดูแลตัวของมันเอง เข้าอินเตอร์เน็ตเดินเที่ยวร้านหนังสือจะพบหนังสือบทความต่างๆมากมายเกี่ยวกับการล้างพิษออกจากร่างกาย เดินตามห้างต้องเจอผลิตภัณฑ์แปลกๆใหม่ๆที่กล่าวอ้างว่าช่วยล้างพิษ ขับพิษออกจากร่างกายได้บ่อยๆ อย่างวันนี้ก็เจอแผ่นแปะฝ่าเท้าที่อ้างว่าช่วยขับให้สารพิษออกจากร่างกายได้นำเข้ามาจากเกาหลี เป็นต้น
ส่วนตัวเองเชื่อว่าต้องหาทางขับพิษออกจากร่างกายบ้างเพราะการดำเนินชีวิตในทุกวันนี้นั้นเรียกได้ว่าดูดเอาสารพิษเข้าสู่ร่างกายตัวเองแทบจะตลอดเวลาไม่ทางปาก ทางจมูก ทางกาย ทางเสียง ทางตา ทุกช่องทางก็ว่าได้ การเอามันออกไปบ้างเป็นเรื่องที่ดีต่อร่างกายอยู่แล้ว แต่ทำไมถึงคิดแต่จะขับพิษล้างพิษที่เข้ามาแล้วเท่านั้นล่ะ ทางที่ดีน่าจะคิดที่จะกันไม่ให้มันเข้ามาด้วยกระมัง
คงต้องถึงเวลามาพิจารณาว่าทำไมเราถึงปล่อยให้สารพิษเข้าและค้างอยู่ในร่างกาย บางทีนอกจากต้องล้างพิษออกจากายแล้ว คงต้องล้างพิษออกจากใจด้วยเช่นกัน เพราะมองไปทางใหนก็เห็นแต่ใจนี่ล่ะที่ปล่อยให้เกิดพิษในร่างกายจนต้องเสียเวลามาล้างกัน
ในหมวดหมู่: สิ้นคิด
คำสำคัญ: ล้างพิษ, สิ้นคิด
18 เมษายน 2011 / 34 ความคิดเห็น » / โดย kasapop
อ่าน: 2858
ครูบาอาจารย์สอนเสมอว่าติดดีนั้นแก้ยาก ต้องระวัง ติดดีนั้นนอกจากจะทำให้ตัวเองพยายามยกหางจนเลยหัวผู้อื่นแล้วยังอาจพาลทำให้ผู้อื่นรังเกียจความดีไปอีกด้วย ก็พยายามเข้าใจและระวังกันไปตามประสา แต่มาวันนี้เข้่าใจเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อยว่านอกจากติดดีจะเป็นการเอาความดีมาอ้างแล้ว ยังเป็นการบ่อนทำลายจากข้างใน ทำให้เราผลักไสไม่ยอมรับความจริงว่าเรานั้นอ่อนแอยังไง มีความบกพร่องและเลวในจุดไหน แกล้งมองข้ามหรือแข็งขืนกับมัน เมื่อไม่รู้ตัว ไม่ยอมรับมันก็ยิ่งฝังลึกเป็นจุดอ่อนที่ไม่มีวันแก้ไขได้จนกว่าจะยอมรับความจริงอย่างที่เป็น
ในหมวดหมู่: สิ้นคิด
คำสำคัญ: บันทึกตามวาระ
14 พฤศจิกายน 2010 / 224 ความคิดเห็น » / โดย kasapop
อ่าน: 3643
ชายคนหนึ่งประสบความสำเร็จในทุกๆด้านที่สังคมนั้นยกย่องและเชื่อว่ามีคุณค่า เมื่อทำงานเขาก็เป็นพนักงานดาวเด่นของบริษัท เมื่อเขาเรียนก็เป็นนักวิชาการที่บริษัทชั้นนำให้การยกย่องและนำเอาผลงานของเขาไปต่อยอดสร้างเป็นสินค้าทำกำไรได้มากมาย เมื่อเป็นอาจารย์ก็ได้สอนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะสมบูรณ์แบบเสียนี่กระไร ไม่มีอะไรเลยที่เขานั้นทำไม่ได้ เพราะเขานั้นทุ่มเทให้กับสิ่งที่ทำเกินร้อย เวลา พลังกาย พลังใจทั้งหมดมุ่งให้กับงานที่อยู่ตรงหน้าจนหมด ซึ่งสิ่งที่ทำลงไปนั้นมันก็ตอบแทนเขาเป็นอย่างดีเสมอมา
ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตเขา เหมือนโชคชะตากลั่นแกล้ง เขาตรวจพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง โรคร้ายที่ยากรักษา เขาต้องหยุดทุกอย่างที่ทำ เพื่อพักและรัษาตัว ในโชคร้ายก็มีเรื่องดี ทุกเรื่องมีมุมให้มองขอเพียงแต่เราจะเปิดใจเหลียวดูใหม่ เขาพบว่าในเวลาที่เขาทุกข์ทนนี้ ความรู้ ความสามารถ ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทองนั้นกลับด้อยค่าลงไปเสียนี่กระไร เพราะมันไม่อาจจะใช้เพื่อทำให้เขานั้นหายจากการเป็นมะเร็งและกลับมาแข็งแรงดังเดิมได้เลย ในตอนนี้สิ่งที่มีค่ากลับเป็นเวลาที่เขาเคยใช้มันหมดไปอย่างเต็มที่และครอบครัวที่อยู่เคียงข้างและเป็นกำลังใจทั้งๆที่เขาแทบไม่เคยเหลือเวลาให้พวกเขาเหล่านั้นเลย หลังจากการทำการรักษาอยู่ระยะหนึ่ง ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีกว่าที่คาด เขาหายจากโรคร้าย ชีวิตก็กลับมาอีกครั้งหนึ่งด้วยมุมมองที่เปลี่ยนไป ด้วยหัวใจที่ไม่เหมือนเดิม
หลังจากผ่านเหตุการณ์ครั้งสำคัญของชีวิต เขาก็เริ่มตั้งคำถามให้กับชีวิตของตัวเองใหม่และเขาก็ได้นำคำถามเหล่านั้นไปให้นักเรียนและนักศึกษาในวิชาของเขาได้ลองตอบดูบ้างเพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสหยุดคิดและมองชีวิตให้ครบถ้วนจะได้ไม่ซ้ำรอยเดียวกันกับที่เขานั้นได้เผชิญมา คำถามดังกล่าวมีอยู่ว่า
_
คุณจะทำอย่างไรให้การทำงานทุกวันนั้นมีความสุข ไม่ใช่ทำไปด้วยความหวังว่าสุดท้ายเมื่อสำเร็จแล้วจะมีความสุข
คุณจะทำอย่างไรให้มั่นใจว่าชีวิตครอบครัวคุณนั้นจะยั่งยืนและทุกคนมีความสุข รักและดูแลกันตลอดไป
คุณจะทำอย่างไรให้มั่นใจว่าชีวิตคุณนั้นมีความหมาย เมื่อถึงวันสุดท้ายของชีวิตแล้ว คุณภูมิใจและมีความสุขที่ได้ชีวิตนี้มา
_
คำถามเหล่านี้ควรเป็นคำถามที่เราต้องตอบตัวเองให้ได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ยากดีมีจนแค่ใหน ก็จะมีคำตอบในแบบของคุณ ขอเพียงแต่หยุดคิดเรื่องนอกตัว หันกลับมาให้เวลาตัวเองจริงๆบ้าง ซึ่งถ้าเราลองสังเกตุดีๆ ในหนึ่งวันของชีวิตอันวุ่นวายเรานั้นยุ่งแต่กับเรื่องของคนอื่น เพื่อคนอื่นเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้แต่จะนอนก็ยังไม่วายเอาปัญหาจากงานที่คั่งค้างกลับมาคิดจนนอนไม่หลับอีก เรื่องของตัวเองคือ ร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงนั้นควรจะสำคัญที่สุด แต่เรากลับไม่เคยให้ความสำคัญ กลับถูกผลักออกไปด้วยความคิดที่ว่า เอาไว้ก่อนน่า กำลังจะประสบความสำเร็จแล้วอีกนิดนึง เรื่องของคนที่อยู่รอบตัวเราก็เช่นกัน คนในครอบครัวที่รักและห่วงใย เรานั้นมีเวลาให้พวกเขากี่มากน้อยกันในแต่ละวัน และเวลานั้นมีคุณค่าและความหมายแค่ใหน เรากำลังหลอกตัวเองหรือเปล่าว่ากำลังเสียสละเพื่อพวกเขาได้สบาย ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน แต่ในความเป็นจริงเรากำลังละเลยหน้าที่ของตนหรือไม่ เพราะสุดท้ายเมื่อคนที่เรารักหลงเดินทางผิด เราสามารถตอบตัวเองได้เต็มปากหรือว่าเราได้เลี้ยงดูสั่งสอนอบรมเขามาแล้วเป็นอย่างดี หรือที่จริงเราปล่อยให้เขานั้นเติบโตเองในโรงเลี้ยงที่หล่อให้ทุกคนไปในทางเดียวกัน ไหลต่ำลงไปด้วยกันตามปัญหาที่ทุกคนในสังคมต้องเผชิญร่วมกัน
_
ชีวิตที่ดีนั้นต้องมีการวางแผน แผนที่ดีนั้นต้องมีกลยุทธเป็นเครื่องมือ กลยุทธนั้นต้องมีเป้าหมายให้บรรลุ เป้าหมายนั้นต้องมีคุณค่าให้ต่อสู้ คุณค่านั้นต้องมีความหมายต่อชีวิต แล้วอะไรคือความหมายของชีวิตคุณ
_
เขียนขึ้นจากแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของ Clayton M. Christensen (how will you measure your life) เนื้อหาเป็นจินตนาการของผู้เขียนจากเค้าโครงเรื่องจริง คำถามนั้นดัดแปลงให้เข้ากับมุมมองส่วนตนของผู้เขียน คำถามต้นฉบับสามารถดูได้จากบทความในลิงค์แนบ
คุณความดีที่มีทั้งหมดขอยกให้พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ และคนชายขอบ(www.fringer.com) ที่จุดประกายให้ได้อ่านเรื่องนี้ หากจะมีข้อบกพร่องใดใด ผู้เขียนขอน้อมรับแต่เพียงผู้เดียว
ในหมวดหมู่: สิ้นคิด
คำสำคัญ: ข้อคิด, ชีวิต
18 พฤศจิกายน 2009 / 33 ความคิดเห็น » / โดย kasapop
อ่าน: 2912
ปกติผมไม่ค่อยจะชอบแมวเท่าไหร่ เพราะแหยงๆ เวลามันตั้งท่าจะตะปบหรือข่วนเวลาเข้าไปเล่นด้วย แถมเดาใจก็ยากว่ามันจะเล่นด้วยหรือมันจะหาเรื่อง แต่ก็ไม่ถึงกับเกลียด อยู่ใกล้ได้ อุ้มได้ แต่ไม่รู้ทำไมมันมักจะรู้ และขู่ผมก่อนเป็นประจำ ก็เลยพยายามอยู่ห่างๆ ถ้าเป็นไปได้ แต่ก็ไม่วายมีเรื่องราวกับแมวให้ได้จดจำอยู่เหมือนกัน
ยังจำได้อยู่เลย ว่าประมาณ 5-6 ปีที่แล้ว ที่ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 ตี 5 เพื่อออกจากบ้านแถวสายไหมไปทำงานที่ถนนวิทยุ ซึ่งต้องออกจากบ้านก่อน 5:45 เป็นอย่างน้อย เพราะต้องเผื่อเวลาไปส่งแฟนที่ชิดลมด้วย ทุกๆเช้าก็ต้องงัวเงียขึ้นมารีบๆๆๆ อาบน้ำ แต่งตัว แล้วขับรถไปทำงาน เช้าวันนั้นก็เป็นเหมือนทุกวัน ผมกับแฟนขึ้นรถเพื่อเตรียมตัวออกจากบ้าน พอติดเครื่องได้สักพักยังไม่ทันออกตัว แฟนผมก็สะกิดแล้วถามว่า ทำไมวันนี้เสียงเครื่องแปลกๆ ทำไมเสียงเครื่องมีดัง เมี๊ยวๆ ด้วย ตอนแรกก็คิดว่าคงมีแมวอยู่บนรถ หรือใต้ท้องรถ แต่เสียงมันดังระงมหลายตัว แถมที่มาของเสียงมันแปลกๆ มันดันไปอยู่แถวๆ ตอนหน้าของรถ ผมกับแฟนก็เลยลงไปดู พยายามมองหา ก้มดูแล้วก็ไม่เห็น สุดท้ายเอะใจ เปิดฝากระโปรงรถอยู่ ตอนแรกก็ไม่เห็น แต่พอก้มไปดูชัดๆ ก็ชัดเต็มตาเลย ลูกแมว 4 ตัว มุดกันอยู่ในห้องเครื่องรถผม! ก็ไม่รู้ว่าแม่มันไปอยู่ใหน ผมพยายามจะล้วงเอาพวกมันออกมาทั้งๆที่เครื่องยังติดอยู่ แต่มันก็พยายามมุดหนีด้วยความกลัว สักพักนึกขึ้นได้เลยไปดับเครื่อง วุ่นวายอยู่กับพวกเขาอีกสักเกือบสิบนาทีได้ กว่าจะต้อนออกมาได้หมด วันนั้นก็เลยไปสายกันแต่ก็มีเรื่องให้จดจำว่าเกือบได้ขับรถกำลังขับเคลื่อน 4 แรงแมวแทนแรงม้าซะแล้ว คงจะหลอนน่าดู
อีกทีหนึ่ง ก็ลูกแมวเหมือนกัน แฟนผมไปซักผ้าหลังบ้าน อยู่ดีๆ ก็ตะโกนเรียกผมให้ไปดูอะไรบางอย่าง ผมก็จำใจต้องเดินออกไปด้วยความเกรงใจ พอผมไปถึงเครื่องซักผ้า เธอก็ชี้ให้ดูก้อนฟูๆ อะไรบางอย่างที่ข้างหลังเครื่องซักผ้า ปรากฎว่าเป็นลูกแมว 3 ตัวเห็นจะได้ อายุน่าจะไม่กี่วัน แม่มันมาแอบเลี้ยงลูกที่หลังบ้านผม ไอ้ตอนนั้นก็กลัวว่าเดี๋ยวซักผ้าแล้วเครื่องมันจะสั่นมากจะไปโดนพวกมันเข้า ก็เลยพยายามจะเอามันออกไป แต่ไม่ทันไร มีเสียงแป๊วดังขึ้นบนหัว คุณแม่แมวมาแล้ว ไอ้ผมก็เกรงๆแมวอยู่แล้วก็เลยเก้ๆ กังๆ อยู่ตรงนั้น จะเดินหนีไปก็กลัวแมวตัวที่เรียกมาดูบ่น จะเอื้อมมือไปหยิบแมวตัวเล็กก็ทำท่าตะปบรออยู่เลย ส่วนตัวข้างบนก็ทำหลังโก่งรอจังหวะเต็มที่ เอาไงดีละทีนี้ สุดท้ายก็เลยเปิดเครื่องซักผ้าให้ทำงานซึ่งตอนแรกน่าจะยังสั่นไม่มาก แล้วผมกับแฟนก็เดินหนีไปอีกทาง คุณแม่แมวแม้จะกลัวเหมือนกันด้วยความรักลูก ก็ยังคงเฝ้าอยู่ตรงนั้นไม่ยอมไปใหน เราเฝ้าดู มันก็เฝ้าระวัง ก็เลยเดินเข้าบ้านกันไปไม่ให้มันเห็นตัว สักพักมาแอบดู เห็นแม่แมวคาบลูกห้อยต่องแต่งหนีไปทีละตัว ทิ้งเราไปอย่างมีเชิงน่าดู
หลังจากนั้น ผมกับแฟนก็ย้ายออกไปจากบ้านที่สายไหมไปได้หลายปี พึ่งกลับมาอยู่ได้สักปีกว่าๆ นี้เอง บ้านเรือนแถวนี้ก็เปลี่ยนไปพอสมควร เจริญมากขึ้นเยอะ รถก็ติดกว่าเดิมแยะด้วย แต่สิ่งใหม่สิ่งหนึ่งที่เราคุ้นเคยก็คือตกดึกมักจะมีงิ้วแสดงให้ฟังกันเป็นประจำ นักแสดงก็ไม่ใช่ใครที่ใหน แก๊งน้องแมวในหมู่บ้านนั่นละ เขาจะมาร้องเงี๊ยว ง๊าว กันทุกคืน บางคืนเขม่นกันก็ฟัดกันซะกระเบื้องสะเทือน แต่เสียงแมวตัวใหนก็ไม่ติดหูเท่ากับเจ้าเหมียวที่ผมเรียกมันว่า ตุ๊ก ง่า หรือเหมียวง่า แต่แม่ผมจะเีรียกมันว่าไอ้ขี้เหร่ ทั้งๆที่มันเป็นตัวเมีย ที่แม่ผมเรียกว่าขี้เหร่ก็เพราะว่าวันแรกๆที่มันซมซานมาบ้านเรานั้น สภาพของมันก็เรียกได้ว่า ซกมกระยะสุดท้ายก่อนจะไปเป็นแมวขี้เรื้อน ขนแหว่งเป็นกระหย่อมๆ ตัวผอมกะหร่อง แม่ของผมนั้นตรงกันข้ามกับผมเลย เป็นคนรักแมวม๊ากกกกกก บางทีเกรงใจแมวมากกว่าลูกอีก อะไรประหยัดได้แม่ไม่เคยยอมหลุดแต่เพื่อแมวนี่เท่าไหร่เท่ากัน บางทีโดนมันตะปบแม่ก็ไม่เคยโกรธหรือกลัวเลย ในขณะที่เจ้าขี้เหร่ เป็นแมวจรจัดระดับพระกาฬอยู่กับที่บ้านผมจนวันสุดท้ายก็ยังไม่เคยมีใครได้จับตัวมัน
ส่วนที่ผมเรียกมันว่า เหมียวง่า ก็เพราะว่าแมวที่ผมเคยได้ยินมันร้อง นั้นอาจจะแตกต่างกันไปบ้างตามแต่ละตัว แต่ก็ไม่พ้น มิ๊ว แม๊ว เมี๊ยว หรือ ม๊าว แต่เจ้าตัวนี้ไม่เคยได้ยินเสียงโทนนั้นเลยสักครั้ง เวลามันจะร้อง มันจะร้องว่า ง่า ง่า อยู่ตลอด (ใครนึกไม่ออก ลองนึกถึงดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่ตอนที่น้าต๋อยเซมเบ้พากย์ แล้วมีอีกามาบินร้อง ง่า ง่า อ่าห้อยๆ ยังงั้นเลย) แค่นั่งฟังมันร้องก็ขำแล้ว แรกๆ มันก็นานๆ มาที แต่พอแม่ให้อาหารมันทุกวันๆ วันละเกือบ 10 เวลาตามแต่มันจะร้อง ร้องเมื่อไหร่แม่ก็ให้ตลอด จนมันจะมาประจำทุกวันที่บ้านเราทุกครั้งที่มันหิว จนก่อนที่แม่ผมจะกลับเบลเยี่ยม(แม่เป็นคนสองสัญชาติ หนีหนาวมาอยู่เมืองไทย หายหนาวก็ต้องกลับไปทำภารกิจ) มันก็อ้วนพี ขนสวยด้วยกินอาหารเม็ดบ้าง เปียกบ้าง ประจำทุกวัน กลายเป็นคนละตัวกับเจ้าขี้เหร่ในวันแรกที่เราเจอมันจนแทบจะเทียบกันไม่ได้ แม่สั่งกำชับผมแล้วกำชับผมอีก กระทั่งไปถึงแล้วก็โทรมาเช็คเป็นระยะ ว่ายังให้ข้าวเจ้าง่ามันอยู่หรือเปล่า ผมกับแฟนก็เลยมีหน้าที่ประจำที่ต้องซื้อข้าวมาและจัดการให้มันทุกวัน แถมเจ้าง่านี่ไม่รู้เสียนิสัย หรือมันเป็นแมวผู้ดีตกยากมาเป็นแมวจรจัดก็ไม่รู้ เรื่องมากเหมือนคุณหนูแมวไม่มีผิด ชามข้าวจะต้องสะอาด ถ้ามีมดขึ้น she จะไม่แตะข้าวเลย ชอบกินแต่อาหารเม็ด และเวลากลับบ้านช้า หรือยุ่งๆให้อาหารช้าไปหน่อย จะหงุดหงิด ร้องโวยวาย จากง่าสั้นๆ โทนกลางๆ ไปเป็นง่าแบบลากเสียงสูงๆ แถมมีสะบัดปลายเหมือนหงุดหงิดคนรับใช้สองคนที่ให้อาหารไม่ทันใจเธอ กับผมตัวใหญ่หน่อย มันก็ไม่ค่อยกล้าทำอะไร ได้แต่ร้องโวยวายไม่หยุด แต่กับแฟนผม มันจะเดินต้อนหน้าต้อนหลัง บางทีก็แกล้งเอาเท้ามาเหยียบเท้าแฟนผม แล้วสะบัดตูดหนี พอเราทำเป็นไม่สนใจมันก็จะอ้อมมาด้านหน้าแล้วทิ้งตัวอ้วนๆของมันแผละดักทางเราไว้ไม่ให้เดิน หรือถ้าวันใหนหงุดหงิดมากๆมา ก็อาจมีตะปบเบาๆเตือน ยิ่งช่วงหลังๆ ตอนที่เธอชุบตัวซะสวยแล้วแอบไปมีแฟนท้องป่องอ้วนปั๊กก็ยิ่งวุ่นวายหน้าดู ไปๆมาๆ มันก็อยู่กับบ้านผมได้ปีกว่าๆ แล้ว ผมกับแฟนก็เริ่มคุ้นกับทุกเช้าก่อนออกจากบ้าน ต้องมีเงาตะคุ่มๆรออยู่หน้าบ้าน หรือตอนที่เราพึ่งตื่นนอนจากห้องบนชั้นสอง จะมีเสียงเตือนจากข้างล่าง ให้ลงไปทำหน้าที่ กับทุกเย็นทีเราเลิกงานกลับบ้านมา ไม่ว่าจะดึกแค่ใหน ก็มักจะมีเจ้าง่าตัวนี้ วิ่งจู๊ดมาจากที่ใหนก็ไม่รู้ มารอเราอยู่ที่หน้าบ้าน จนวัีนใหนที่อาหารแมวหมดแล้วเราลืมซื้อ ก็เป็นเดือดเป็นร้อนต้องไปหามาให้มันให้ได้ กลายเป็นเหมือนเพื่อนที่คุ้นเคยกัน เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปซะแล้ว แต่กระนั้นมันก็ยังไม่เคยยอมให้ใครจับตัวมันได้สักคนเดียว ยกเว้นแต่มันจะมาโดนตัวเราเอง
ผมเองก็แปลกใจตัวเองไม่น้อย ว่าผมก็ยังคงแหยงๆ แมวเหมือนเดิม ไม่ค่อยถูกโรคกับมันนัก แต่ถ้าวันใหนเจ้าง่าหนีไปเที่ยว ไม่ยอมมากินข้าว ผมก็รู้สึกเหงาๆ เหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง กังวลว่ามันจะเป็นอะไรหรือเปล่า จะไปโดนทำร้ายที่ใหนไหมนะ แต่สุดท้ายไม่กี่วันมันก็กลับมาหาเราจนได้ จนกระทั่ง…ครั้งนี้ สองอาทิตย์กว่าแล้วที่มันหายไป ไม่โผล่มาให้เห็นเลย ตอนแรกพวกเราก็พยายามคิดว่า มันคงแอบไปเลี้ยงลูกมันที่อื่น เพราะมันพึ่งจะคลอดชุดที่ 2 ไม่นานนี้เอง แต่วันแรกๆที่มันพึ่งคลอด มันก็ยังมาหาเราเหมือนเดิม แต่ตอนนี้มันหายไปจนผิดสังเกตุ แม่ผมก็คอยชะเง้อดูที่หน้าประตูเวลาได้ยินเสียงแมว แต่ก็ไม่ใช่มัน เป็นแมวตัวอื่นทุกที แฟนผมก็ใจไม่ค่อยดีแล้ว ส่วนผมก็ทำเป็นเฉยๆ บอกคนอื่นไปว่า เดี๋ยวมันก็คงมาเองละ ตอนนี้คงหนีไปเลี้ยงลูกอยู่ แต่ที่จริงข้างในก็วูบลึกๆ อยู่เหมือนกัน ใจมันหายเหมือนต้องสูญเสียสิ่งรักไป มันทำให้ผมได้คิดว่า นี่ขนาดเราไม่ค่อยชอบแมว และพึ่งคลุกคลีกับเราไม่กี่ปี เรายังรู้สึกขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นคนที่เรารักซึ่งใกล้ชิดเรามาไม่รู้กี่ปีบ้างละ เราจะเป็นอย่างไร มันจะเสียใจขนาดใหน เราจะเสียดายเวลาที่เคยมีแต่ไม่เคยทำดีกับเขาได้เหมือนตอนเวลาที่เสียเขาไปแล้วเอาแต่นึกถึงแค่ใหน ทำไมเราต้องรอให้เวลานั้นเกิดขึ้น ทำไมถึงไม่ทำดีกับทุกคนโดยไม่ต้องตั้งข้อแม้ตั้งแต่วันนี้ ทำไมต้องคิดพิจารณา วิเคราะห์ตัดสินคนอื่นก่อนที่จะเลือกว่าจะทำดี หรือไม่ทำดีกับเขากัน ทำไมไม่หยุดคิดแล้วทำในสิ่งที่ใจเราจริงๆนั้นอยากจะทำ ไม่ได้ทำไปด้วยอารมณ์ ด้วยความโกรธ ด้วยความกลัว ด้วยความหลง… ทำไมไม่คิดให้ได้ตั้งนานแล้ว ทุึกสิ่งมันไม่เที่ยง แม้แต่ใจเรามันยังไม่เที่ยง แ้ล้วเราจะเชื่อความคิดที่ไม่เที่ยงแล้วทำตามมันไปได้อย่างไร
“อย่าฝากหัวใจไว้กับคำพูดของผู้อื่น เพราะเราจะผิดหวัง
ต้องฝากหัวใจไว้กับพระธรรม
ก็เลยได้จดจำคำพูดหลวงพ่อ…”
พระอาจารย์ญาณธมฺโม พูดถึงคำสอนของหลวงพ่อชา
วัดป่ารัตนวัน อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
ท้ายนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ เจ้าง่ามันจะโซเซกลับมาขอข้าวอีกไหม หรือเราอาจจะไม่มีโอกาสเจอกันอีกแล้ว แต่ผมก็ต้องขอโทษมันที่บางทีผมก็ขี้เกียจ แกล้งมันโดยการไม่สนใจ ปล่อยมันร้องไปจนเงียบเสียง หรือแกล้งเอาเชือกไปแหย่มันจนมันรำคาญ หรือบางครั้งก็ลืมบ้าง ขี้เกียจบ้าง ไม่ไปหาอะไรมาให้ง่ากิน จนมันต้องนอนหมอบหิวโซไป ผมขอโทษนะเจ้าเพื่อนง่า แม้มันอาจจะสายไป
ด้วยบุญกุศลใดใด ที่ข้าพเจ้าเคยทำไว้ทุกๆชาติ ทั้งที่จำได้และจำไม่ได้ ขออุทิศให้แก่พ่อแม่พี่น้อง ปู่ย่าตายาย ญาติสนิทมิตรสหาย ศัตรูไพรพาล เจ้ากรรมนายเวร พรหมทุกชั้น เทวดาทุกๆชั้น สรรพสัตว์ทั้งหลาย ท่านทั้งหลายที่ต้องทุกข์ ก็ขอให้พ้นจากทุกข์ ท่านทั้งหลายที่ได้สุขก็ขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ สาธุ
ในหมวดหมู่: สิ้นคิด
11 พฤศจิกายน 2009 / 11 ความคิดเห็น » / โดย kasapop
อ่าน: 4066
ผมกำลังนั่งดูรายการคนค้นคน ตอนศิลปินสุดเซอร์ คุณลุงไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก หรือชื่อเดิมก็คือ วิโรจน์ นุ้ยบุตร ศิลปินวัยชราที่มีผลงานมากมายทั้งในไทยและต่างประเทศ แต่ไม่เคยขายงานตัวเองกิน ไปอยู่ในป่า อาบน้ำด้วยขี้โคลน ทานมังสวิรัติ และเป็นตัวของตัวเองจนคนที่ต้ออายก็คือผมเองที่ไม่มีความเข้มแข็งและกล้าหาญเท่ากับแก
คุณลุงที่ไว้หนวดยาวรุงรัง เอาเหรียญเอาอะไรก็ไม่รู้มาขอดไว้กลางหัว ใส่เสื้อผ้าปุปะ เดินเท้าเปล่า ปกติก็อยู่แต่ในป่า พูดจาไม่เหมือนคนทั่วไป แต่สิ่งที่แกพูดนั้น โดนใจผมเหลือเกิน คือสิ้นคิด ไม่ต้องคิดอะไร ปรุงแต่ง ล่อหลอกตนเองและคนอื่น บอกออกมาอย่างที่มันควรจะเป็น พูดออกมาแบบที่ต้องพูด ถ้อยคำหนึ่งที่สะดุดเอามากๆ ถึงมากที่สุด ก็คือที่คุณลุงบอก ว่าแกเป็นคนตามกระแส ทำตามกระแสของโลกทุกอย่าง คนอื่นๆ ต่างหากที่ทวนกระแส ไปบีบไปเค้น เอาทรัพยากรโลกมาถลุงใช้ พยายามทำตัวให้เหนือธรรมชาติ สวนกระแสแห่งโลกที่ควรจะเป็นจริงๆ
สิ่งที่คุณลุงพูดออกมานั้น ถ้ามองผ่านๆ ก็คือทัศนคติของคนขวางโลกที่แสดงออกมาก็เท่านั้น แต่ถ้าคิดให้ดี มีอะไรซ่อนอยู่มากมาย แต่คงต้องคิดแบบสิ้นคิด คือทิ้งความรู้เดิมๆ ที่มีให้หมด ทิ้งความเชื่อ หรืออย่างน้อยวางมันลงไปก่อน แล้วลองฟัง อย่างตั้งใจ ผมก็ต้องอึ้งไปกับสิ่งที่แกพูด และผมก็เริ่มเชื่อแล้วว่า แกเป็นคนตามกระแสจริงๆ คือกระแสของโลก กระแสของธรรมชาติ คนอื่นๆต่างหาก(รวมทั้งผมด้วย) ที่ทวนกระแส ถ้าหากโลกอุตสาหกรรมล่มสลายลง มนุษย์ต้องกลับไปอยู่กับธรรมชาติอีกครั้ง ใครกันที่จะอยู่รอด พวกเรา หรือคุณลุงไม้ร่ม คงไม่ต้องสงสัย ทุกวันนี้ปัญหาที่เป็นผลพวงมาจากยุคอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อเราอย่างหนัก ก็คือปัญหาโลกร้อน สภาพอากาศต่างๆแปรปรวนจนไม่เป็นฤดู ภัยทางธรรมชาติต่างๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และทรัพยากรที่ควรจะฟื้นคืนกลับมาใช้ได้ใหม่ ไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ทันต่อการบริโภคของเราอีกต่อไป (ถ้าหากเปรียบอัตราการฟื้นฟูของทรัพยากรทั้งหมดบนโลกนี้เท่ากับ 1 อัตราการบริโภคของมนุษย์จะอยู่ที่ประมาณ 1.3) ปัญหาน้ำและอาหารจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอีกไม่นานจากนี้ นอกจากนั้นตัวบ่งชี้ที่สำคัญอีกอันหนึ่งก็คืออัตรา CO2 ในชั้นบรรยากาศ ที่พุ่งพรวดขึ้นมาในเวลาไม่กี่ร้อยปี ที่ผ่านมานี้ อัตราอ้างอิงสำหรับระดับ CO2 ตามประวัติศาสตร์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้นก็คือ 350 ppm แต่ในปัจจุบันนั้นสูงถึง 384.78 ppm ซึ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี แม้จะมีความพยายามสร้างความร่วมมือในระดับนานาชาติเพื่อลดจำนวนนี้ลงให้เห็นในข่าวเกือบทุกๆ วัน นักวิทยาศาสตร์ได้ประมาณการไว้ว่า โอกาสของมนุษย์ที่จะฟื้นฟูความยั่งยืนของตนนั้นอยู่ที่ตังเลข 80:20 หรือต้องลดจำนวน CO2 ให้ได้อย่างน้อย 60-80% ภายใน 20 ปีนี้! (อยู่ในหนังสือ the Necessary Revolution ของ Peter Senge ซึ่งตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 2008) ทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร สำหรับผมนั้นเข้าใจโดยไม่ต้องคิดได้เลยว่า เรากำลังยืนอยู่บนความเสี่ยงอันมหาศาล อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกขณะ อาจไม่ต้องรอจนถึงปี 2012 ตามที่กำลังเป็นข่าวอยู่ตอนนี้ก็ได้ เพราะเรากำลังเดินทวนกระแสของโลกกันอยู่ใช่หรือไม่ เรื่องแบบนี้ถ้าใช้ความคิดเดิมๆ รับรองได้ว่า อาจจะตกใจอยู่พักหนึ่ง แล้วสักพักก็ลืม แต่ถ้าคิดแบบสิ้นคิดละก็ ขนหัวลุกเลยครับผม
ลิงค์รายการย้อนหลังคนค้นคน
ตัวอย่างผลงานคุณลุงไม้ร่ม
ข้อมูลล่าสุดของระดับ C O 2
หนังสือ the Necessary Revolution โดย Peter Senge และทีม
บทสัมภาษณ์ Peter Senge
ในหมวดหมู่: สิ้นคิด
9 พฤศจิกายน 2009 / 134 ความคิดเห็น » / โดย kasapop
อ่าน: 2295
ขอบคุณลานปัญญาครับ ที่ให้พื้นที่ให้ผมได้เขียนบล็อค
บล็อคนี้เป็นบล็อคที่ 2 ในชีวิต
บล็อคแรก มีได้สัก 2 ปีแล้วกระมัง เขียนไปได้ตั้งเยอะ ประมาณ 5 เรื่องแน่ะ
บล็อคที่ 2 นี้ ตั้งใจว่าจะเขียนให้ได้สัก 10 เรื่องเลยน่าจะดีครับ (แต่ไม่รู้ว่า 2 ปี อีกหรือปล่าว)
ที่มาที่ไป คืออยากจะบันทึกไว้กลับมาดูพัฒนาการของตนเอง ว่าทำการรื้อถอนความคิดไปได้อย่างไรบ้าง
มีโอกาสแลกเปลี่ยน ประสบการณ์รื้อถอน การพังฐานความคิดที่ฝังแน่นมาไม่รู้กี่ชาติภพ ให้ทลายไป ได้สักแค่ใหน
ทุกวันนี้ ยิ่งเรียนสูงขึ้นก็ยิ่งรู้ตัวว่า ไม่รู้จะรู้กันไปทำไม ยิ่งอยากรู้มากก็ยิ่งไม่รู้ ยิ่งลึกมากยิ่งหลง งั้นลองไม่รู้ดูบ้างจะดีไหม
แต่เรียนให้ไม่รู้นี่ดูจะยากกว่าเรียนให้รู้ใช่หรือไม่ แล้วจะเรียนยังไง ผมก็ยังงง ก็เลยเอาแบบสิ้นคิดนี่ละ
ครูบาอาจารย์ให้ทางมา ก็ต้องลองทำ ลองบันทึกให้มันสิ้นคิดอย่างนี้ละครับผม
ป.ล. สิ้นคิด เป็นสำนวนของอาจารย์วรภัทรที่ผมถูกใจ ขอยืมมาตั้งชื่อบล็อกแบบยังไม่ได้บอกกล่าว ก็ขอบอกกล่าวไว้ตรงนี้ด้วยเลยนะครับเผื่ออาจารย์ผ่านมา อ่านพอดี กับบันทึกของหมีภพคนนี้ ขอบพระคุณครับ
ในหมวดหมู่: สิ้นคิด
คำสำคัญ: สิ้นคิด