๒๕ ม.ค. ๕๓ พี่อะตอมครบ ๖ ขวบ

ปีนี้ตรงกับวันจันทร์ คุณพ่อต้องมาทำงาน
เช้าโทรศัพท์ไป Happy Birthday แล้ว ท่าทางยังงัวเงียอยู่

ใส่บาตรก่อนทานอาหารเช้า อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ลูก

ตอนหกโมงเย็นโทรศัพท์หาอะตอม เห็นว่าเลี้ยงวันเกิดกันแล้ว ให้กล้องไว้ที่บ้าน ค่อยไปดูรูปอีกที
ท่าทางลูกอยากได้บาร์บี้ตอนสามทหารเสือที่เป็นหนังสือ เพราะเราซื้อเป็นแผ่นไปให้แล้ว เดี๋ยวลองหาดู

พี่อะตอมที่พิพิธภัณฑ์เด็ก

พี่อะตอมที่ดรีมเวิลด์

พี่อะตอมที่พิพิธภัณฑ์ล้านของเล่นเกริก ยุ้นพันธ์ อยุธยา

พี่อะตอมที่ตลาดน้ำคลองสระบัว อยุธยา

ถ่ายกับพี่แอมป์ที่องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ รังสิต คลอง ๕

สุขสันต์วันเกิดนะลูกรัก

Avatar

อย่ารอจนต้องไปรุกรานคนอื่นเลยครับ

กำกับ/เขียนบท : James Cameron
นำแสดง : Sam Worthington, Zoe Saldana, Sigourney Weaver, Michelle Rodriguez
ความยาว : ๑๖๒ นาที
ระดับความชอบ : ๑๐/๑๐ (หนังในดวงใจ เลยครับเรื่องนี้)

They killed their mother เป็นประโยคแทงใจมากครับจากหนังเรื่องนี้

ในครั้งแรกไม่ได้อยากดูหนังเรื่องนี้เลย เพราะคาดว่าจะเป็นหนัง Action Sci-Fi เป็นแนวที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่

จนพี่ที่ทำงานมาบอกว่าไปดูมา เป็นสามมิติ หนังยาวแต่ไม่เบื่อเลย
ใน Blog บางที่บอกว่าให้แนวคิดเทียบชั้น The Matrix เลยทีเดียว
สุดท้ายได้ข่าวว่าได้ลูกโลกทองคำอีก

แต่ เหตุผลหลักที่ทำให้ไปดูหนังเรื่องนี้ คือ ประสบการณ์จากหนังการ์ตูนเรื่อง Up ที่หลายคนชื่นชมตอนดูในโรงภาพยนตร์แบบสามมิติ แต่ผมไปดูด้วยแผ่นแล้วเฉยๆ เลยคิดว่าการดูเป็นสามมิติน่าจะมีผลในการสร้างความประทับใจไม่มากก็น้อย

สุดท้ายก็ไปดูแบบสามมิติที่ Esplanade รัชดาฯ
ตื่นตาตื่นใจกับภาพสามมิติที่เห็น
แต่ที่น่าสนใจและถูกใจมากกว่า คือ เนื้อเรื่อง แม้จะไม่ซับซ้อน พอเดาออก แต่ผมว่าตรงประเด็นดี
ใน เมื่อเราจะไปใช้โลกของเขาก็มีสองทางเลือก ไปขอแบ่งจากเจ้าของเดิม หรือไม่ก็แย่งยึดเอา โดยมักอ้างเรื่องอารยธรรม แล้วก็ดำเนินชีวิตทำลายล้างเหมือนเดิม จากนั้นก็เสาะหาโลกใหม่ไปเรื่อยๆ

ดูแล้วอยากให้เทพเอวามีอยู่บนโลกใบนี้บ้างจัง จะได้ขอพรให้โลกนี้อยู่นานๆ ต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายได้บ้าง

มนุษย์ มักจะใช้ชีวิตตามแนวทางที่ตนถนัด มักคิดว่าตัวเองดี คนอื่นด้อยหมด มักคิดว่าเราสามารถศึกษาสิ่งต่างๆ ด้วยการเก็บตัวอย่างมาทดสอบ ธาตุแท้ของคนเหล่านี้แสดงให้เห็นตลอดเรื่อง
ส่วนชาว Navi จะเป็นคนยุคเก่าที่ยังสัมพันธ์กับธรรมชาติ ให้เกียรติธรรมชาติ และที่เด่นกว่ามนุษย์โลกคือสามารถสร้าง Bonding กับธรรมชาติรอบตัวได้ คนสมัยนี้ก็พยายามฝึกอยู่ครับ การสร้าง Bonding กับสิ่งต่างๆ
มนุษย์ เป็นสัตว์โลกที่มีความสามารถในเรื่องนี้น้อยทีสุด เรามักจะไม่สามารถรู้จากสิ่งที่ธรรมชาติพยายามบอกเราเลย แถมยังทำลายธรรมชาติกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

เคยมีคนถามผมว่า เชื่อเรื่องน้ำท่วมโลกไหม? ผมเชื่อครับ เพราะข้อมูลต่างๆ ก็บอกเรามาตลอด ดังนั้นหากมีโอกาสก็หาทางหนีทีไล่ไว้บ้างก็ดีนะครับ เช่น หาที่ดินที่สูงๆ ที่คิดว่ารอดในวันนั้นไว้บ้าง หรือ หากัลยาณมิตรที่จะบอกหรือเตือนภัยในวันนั้นไว้บ้างก็ดีครับ

แต่จะดีที่สุดต้องช่วยให้โลกนี้ล่มสลายให้ช้าที่สุดครับ
ขั้นแรก ต้องตั้งใจว่าจะช่วยโลกเราแล้ว คิดว่าโลกนี้คือมารดาของเรานะครับ
ขั้นที่สอง คิดว่าจะทำอย่างไรจะลดการสร้าง CO2 จากกิจกรรมที่เราทำได้บ้าง ผมมีโครงการ ๑๐:๑๐ มาแนะนำครับ นั่นคือตั้งใจลดการผลิต CO2 จากตัวเราลง ๑๐% ภายในปี ค.ศ.๒๐๑๐ ลองกดเข้าไปใน Link นี้นะครับ http://sibsibcampaign.wordpress.com
ขั้นที่สาม ลองคำนวณ CO2 ที่เราผลิตในปัจจุบัน จากเวบนี้นะครับ http://thaicfcalculator.tgo.or.th/index.html
ตอนใส่ข้อมูลอาจต้องใช้เวลาซักนิดนะครับ รู้สึกว่าจะต้องลงทะเบียนก่อนด้วยนะครับ
ขั้นที่สี่ หาทางลดลงให้ได้ตามเป้าหมาย และทำอย่างจริงจัง แล้วลองวัดผลเป็นระยะๆ

อย่าคิดว่าการผลิต CO2 เป็นเรื่องของคนอื่นนะครับ เริ่มที่ตัวเรา

อย่างน้อยเราก็ได้แสดงความกตัญญูต่อมารดาของเราอย่างเต็มความสามารถแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
อย่างน้อยเราได้ทำเพื่อคนรุ่นหลังรวมถึงลูกหลานของเราอย่างเต็มที่แล้ว

อย่ารอจนต้องไปรุกรานคนอื่นเลย หนังเรื่องนี้สอนผมอย่างนี้ครับ

มีความสุขทุกคนครับ

Link ที่เกี่ยวของ : ดร.วรภัท ร์ อาจารย์ของผม ท่านเขียนถึงเรื่องนี้ไว้ในแนว KM LO ลองคลิ๊กเข้าไปอ่านดูนะครับ จะได้รู้ว่า คำว่า I see you คืออะไร ทำไมคุ้นๆ คำนี้ เป็นคำในวงการนี่เอง ผู้กำกับท่านนี้เก่งจริงๆ

ปุชิตา

ยอดเยี่ยมครับพี่ต้อ

ผู้เขียน : บินหลา สันกาลาคีรี
สำนักพิมพ์ : วงกลม
จำนวนหน้า : ๔๑๐ หน้า
ราคา : ๒๘๐ บาท
ระดับความชอบ : ๑๐/๑๐

เป็นเล่มที่เพื่อนๆ หลายคนใน Blog มักจะพูดถึงบ่อยมากเมื่อพูดถึงนักเขียนคนนี้ บินหลา

ผมอ่านผลงานของบินหลามาแล้วสามเล่มคือ เจ้าหงิญ, คิดถึงทุกปี และ หลังอาน นอกจากเล่มแรกที่ไม่ค่อยโดน อีกสองเล่มอ่านแล้วชอบมากเลย
มาอ่านปุชิตา ชอบสุดๆ เลยครับ
บินหลาเขียนได้ไหลลื่น สนุก มีลูกล่อลูกชน บทจะหวานในช่วงมีความรักก็น่ารักดีเหลือเกิน เก่งจังเขียนได้ขนาดนี้

เนื้อ เรื่องเกิดในประเทศสมมติ คีรีสถาน ตัวเอกเกิดการจับพลัดจับผลูของเข้าไปพัวพันในเหตุการณ์ความไม่สงบของประเทศ นี้ จนเกิดรักระหว่างรบ

ปุชิตาเป็นชื่อเจดีย์ในประเทศคีรีสถาน แต่เป็นเจดีย์ที่ชาวสิงขรชนกลุ่มน้อยในประเทศนี้สร้างไว้ ประมาณว่าเอาไว้ไถ่บาปของผู้สร้าง จึงต้องสร้างให้สูงเท่านกเขาเหิร อารมณ์เดียวกับพระปฐมเจดีย์ในไทย
และปุชิตาเจดีย์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในประทศสมมตินี้ และนำมาเป็นฉากสำคัญในเรื่อง

อ่านเรื่องนี้ทำให้สนใจอยากอ่านมหาภารตยุทธ อันมีตัวละครเอกคือพี่น้องปาณฑพ ๕ คน ได้แก่ ยุธิษเฐียร, ภีมะ, อรชุน, นกุล, สหเทพ
โดยทั้งห้าชื่อนี้นำมาเป็นชื่อของตัวละครในปุชิตาด้วย
ชอบ ตอนอรชุนเปลี่ยนชื่อเป็นภีมะ เพื่อต้องการเปลี่ยนแนวการดำเนินชีวิต ช่างเป็นการเปรียบเทียบที่ชาญฉลาด จากคนเก่ง ไม่ทำสงคราม มาเป็นคนแข็งกระด้าง และชอบการต่อสู้ เพราะพี่ชายตายไปในการปฏิบัติการ

เสน่ห์ ของนิยายเล่มนี้นอกจากเรื่องความรักของตัวละครแล้ว อีกส่วนหนึ่งคือการหักมุมในช่วงท้าย ทั้งการแสดงตัวตนแท้จริงออกมาของนายพลสงเสป ทีแนบเนียน โหดเหี้ยมมาก การเจรจาโดยใช้การข่มขู่และสวมรอย ทำได้เนียน แต่สุดท้ายก็มาเฉลยทั้งหมดภายหลัง
ไม่แปลกที่ตอนลงเป็นตอนๆ ในนิตยสาร จะได้รับการติดตาม จนเกิดเป็นกระแสในช่วงนั้น คาดเดากันว่าเนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไรในตอนต่อไป

อ่านสนุกมาก มีรอยยิ้มเป็นระยะๆ ลุ้นในหลายฉากหลายตอน

น่าอ่านเป็นอย่างยิ่งครับเล่มนี้ ใครอ่านแล้วชอบตรงไหน บอกกันบ้างนะครับ

เป็น หนังสือในดวงใจ เล่มล่าสุดเลยครับ

มีความสุขทุกคนครับ

Seven Pounds

๗ วินาทีของความประมาท

กำกับ : Gabriele Muccino
นำแสดง : Will Smith
ความยาว : ๑๒๓ นาที
ระดับความชอบ : ๙.๒๕/๑๐

แผ่นนี้ได้มาจากญาติผู้พี่ ส่งมาให้โดยบอกมาว่าน่าจะชอบ
เก็บ ไว้นานเลย ไม่ได้ดูหนังมานาน ช่วงนี้มัวแต่จัดแจงเรื่องการย้ายคอนโด วันนี้เลยเอาเสียหน่อย เหลือบดูความยาวของหนัง ร่วมสองชั่วโมงเลย

หนังมีบทพูดเยอะมาก ทำให้ต้องตั้งใจดู ไม่งั้นหลุด
ผู้กำกับคนนี้เป็นชาวอิตาลี กำกับหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ ๒ ใน Hollywood เรื่องแรกก็คือ The pursuit of happyness ก็ร่วมกับ Will Smith อีกเหมือนกันสำหรับเรื่องนั้น แผ่นที่ได้มามี Comment ของผู้กำกับให้ฟังด้วย ทำให้ทราบแนวคิดในเรื่องได้มากขึ้นครับ
ยังคาใจชื่อหนัง มันสื่ออะไรครับ เหมือนกับเรื่องก่อนที่เขียน Happyness ผิดอย่างจงใจ

เปิดตัวหนังคือฉากจบของเรื่อง แล้วค่อยเล่าเรื่องย้อนหลังในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นลำดับ ไม่ได้ตัดสลับไปมาเหมือน 21 Grams

คำน่าคิดอยู่ตอนต้นเรื่องครับ
“พระเจ้าสร้างโลกภายใน ๗ วัน แต่ผมทำลายมันใน ๗ วินาที”
๗ วินาทีแห่งความประมาท ทำลายทุกอย่าง
หนังบอกผมว่า อย่าประมาทโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญ เช่น การขับรถ
ย้อน กลับมาดูตัวเรา บางครั้งก็ชอบเอาโทรศัพท์มาดู Massage เหมือนกันนะ คิดแล้วก็ยังเสียว ต้องงดนะ หายใจลึก ให้คิดว่า การขับรถครั้งนี้สำคัญที่สุด ต้องทำให้ดีที่สุด เพราะเกี่ยวเนื่องกับคนมากมาย ซึ่งล้วนแต่รักเราทั้งนั้น

แต่พระเอกก็ไม่โชคดีจากการประมาท อุบัติเหตุครั้งนั้นกระทบคน ๗ คน รวมทั้งภรรยาสุดที่รัก

พระเอกพยายามไถ่บาป ปลดล็อคหัวใจ โดยการให้กับคน ๗ คน ทั้งที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น คนรอบข้าง และคนดีทั่วไป

สุดท้ายก็สละชีวิตเพื่อมอบอวัยวะ
ซึ่งผมไม่เห็นด้วยเลยครับวิธีนี้

ผม มักพูดเสมอว่าฝรั่งไม่เก่งในการลืม พุทธศาสนาสอนเรื่องนี้เป็นมั่นเป็นเหมาะ เราเกิดดับทุกวินาที เจ้าคนที่ประมาทนั้นดับไปนานแล้ว พระเอกยังเอามาวนเวียนคิด จนออกมาเป็นการตอบแทน ไถ่บาป อย่างที่เห็น
ถ้าพระเอกได้มาเจอหลวงปู่ หลวงพ่อ บ้านเรา อาจคลิ๊ก บรรลุธรรมก็ได้
คนเราบางครั้งต้องมีจุดเปลี่ยนครับ ถึงจะพบทางสว่าง ทางสายเอก
แต่ ไม่ต้องรอจนเจอจุดเปลี่ยนแรงๆ เหมือนตัวเอกนะครับ เอาแรงปรารถนาที่มีที่จะเจอสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต ลองเข้าปฏิบัติธรรมสักครั้ง ๔ วัน ๗ วัน หรือ ๑๐ วัน แล้วคุณจะพบว่าความหมายของชีวิตคืออะไร ผมขอท้าทายครับ

ในเรื่องการแสดงหายห่วง เล่นดีทุกคน เพลงประกอบไม่เด่นมากมาย

จุด อ่อนของหนังเรื่องนี้คือความเกินจริง และดูจงใจยังไงไม่รู้ ทำไมพระเอกบริจาคอวัยวะต่างๆ ได้มากมาย จะใช้งานกับคนที่ได้รับได้หมดเชียวหรือ แล้วเจ้าแมงกระพรุนนั่นมันฆ่าคนได้เชียวหรือ

แต่จุดติก็ไม่ได้ทำให้สื่อสารสิ่งที่ต้องการลดลงเลย ยังมั่นคง

ในเรื่องมีเลข ๗ ประปราย ลองค้นหาดูครับ

กว่าจะเกิดมาเป็นคนยากมาก ดังนั้นต้องใช้ชีวิตอย่าประมาท เพราะผลพวงจากการประมาทตามมามากมาย หากพลาดไปแล้วต้องลืมให้ได้ครับ

ทำตนตรงวินาทีนี้ให้ดีที่สุด

มีความสุขทุกคนครับ

Shakespeare in love

หนัง ๗ รางวัลออสการ์ปี ๑๙๙๙

กำกับ : John Madden
นำแสดง : Gwyneth Paltrow, Josh Fiennes, Judi Dench, Ben Affleck
ความยาว : ๑๒๓ นาที
ระดับความชอบ : ๙/๑๐

Love is the only inspiration เป็น Keyword ของหนังเรื่องนี้

เป็น หนังที่อยู่ใน Waiting List มาเนิ่นนาน เพราะกวาดรางวัลออสการ์มาเยอะทีเดียวในปีที่เข้าประกวด และเป็นหนังที่หลายๆ คนพูดถึงในแง่ชื่นชม

ซื้อแผ่นมาระยะหนึ่งแล้ว ได้ฤกษ์ดูเสียที

เวลาผมดูหนังที่นางเอกคนนี้แสดง เช่น Proof
รู้สึก ว่าเธอไม่ค่อยสวยจนเป็นนางเอกได้เลย แต่กับเรื่องนี้เธอสวยสมควรจะเป็นนางเอกจริงๆ ดูอายุอานามตอนเล่นเรื่องนี้ก็น้อย ช่างเหมาะกับเนื้อเรื่องจริงๆ แถมแสดงได้ดี จนคว้ารางวัลออสการ์ดารานำฝ่ายหญิงมาได้

ส่วนดาราคนอื่นๆ ก็ทำได้ตามมาตรฐาน

โดย ส่วนตัวชอบหนัง Period ประเภทใส่กระโปรงสุ่ม ชอบเวลาแต่งตัวฝ่ายหญิง ที่ต้องมีคนช่วย ดึงเส้นที่เสื้อเพื่อรัดให้เสื้อเข้าตัว ผู้หญิงสมัยนั้นช่างอดทนจริงๆ แต่สิ่งที่ออกมาก็สวยงามดีเหลือเกิน หนังเรื่องนี้ได้รางวัลออสการ์เครื่องแต่งกายด้วย
แต่ที่สังเกต หนัง Period มักจะมีเนื้อหาหนักๆ เชิง Drama เพราะชีวิตสมัยก่อนมากมายกฎเกณฑ์ ทำให้เกิดเรื่องต่างๆ จากการบีบคั้นนั้นๆ ได้
เรื่อง Elizabeth เป็นอีกเรื่องที่อยากดู
หนัง Period เรื่องไหนเจ๋งๆ อีกบ้าง บอกกันบ้างนะครับ

อีก แนวที่ชอบคือหนังที่เล่นกับแรงบันดาลใจ ในเรื่องนี้เล่าเรื่องที่มาของวรรณกรรมบรรลือโลกของวิลเลียม เช็คสเปียร์ โดยตีความและแต่งเอาได้อย่างมีจินตนาการทีเดียว เก่งมากครับ
เมื่อคนผลิตงานตีบตันทางความคิด สิ่งที่ต้องการอย่างมากคือแรงบันดาลใจ มีหนังเรื่องหนึ่งที่พยายามจะหามาชมอยู่ชื่อ The muse ศัพท์คำนี้แปลว่าเทพธิดาที่เป็นแรงบันดาลใจของกวี
หาติดตัวไว้นะครับสิ่งนี้ จะได้สร้างสิ่งดีๆ ออกมาได้ หรือจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย เพราะเรารู้ว่าเราทำทุกอย่างนี้เพื่อใคร

หนังเรื่อง Shakespeare in love ใช้ความรักเป็นแรงบันดาลใจครับ บทละครอันเลื่องชื่อของวิลล์จึงเกิดขึ้นมาได้

อยากดูหนังแต่งตัวสวยๆ มีเรื่องความรักเป็นแรงบันดาลใจให้ชม เอาเรื่องนี้มาชม

ระวังจะตกหลุมรัก Gwyneth Paltrow นะครับ

มีความสุขทุกคนครับ

Julie & Julia

หนังที่ Blogger ต้องดู

ผู้กำกับ : Nora Ephron (เขียนบทด้วยครับ)
นำแสดง : Meryl Streep, Amy Adams
ความยาว : ๑๒๓ นาที
ระดับความชอบ : ๙.๕/๑๐

หนังเรื่องนี้อ่านเจอจาก Blog ของ บ.ก.แป๊ด Grappa เห็นแผ่นในร้านเลยรีบคว้ามาดู

แค่เปิดเรื่องก็น่าสนใจแล้ว
Based on two true stories

ซึ่งเป็นเรื่องของ
Julie Powell และ Julia Child สองแม่ครัวต่างยุค
คน แรกเป็นคนยุคปัจจุบัน ทำ Blog ก่อนเราประมาณ ๔ ปี แต่เขามี Theme ที่ชัดเจน นั่นคือทำอาหารตามสูตรในตำราของ Julia Child ซึ่งเป็นสุภาพสตรีชาวอเมริกาที่ติดตามสามีไปอยู่ในฝรั่งเศส กิจกรรมหนึ่งที่เธอโปรดปรานคือทานอาหารฝรั่งเศสอย่างเอร็ดอร่อย เธอเลยอยากให้แม่บ้านชาวอเมริกันได้ทำทานบ้าง เลยไปเรียน และเขียนตำรา ในยุคของเธอไม่มี Blog จึงเขียนตำราแล้วส่งสำนักพิมพ์เพื่อพิจารณา
ส่วน Julie Powell ใช้เทคโนโลยีปัจจุบันคือ Blog เธอให้เวลาหนึ่งปีกับห้าร้อยกว่าสูตรที่จะต้องทำให้หมด ไม่ง่ายเลย จึงต้องการกำลังใจมาก ลองดูประโยคที่เธอมอบให้คนให้กำลังใจเธอครับ

“I could never have done this without you. As someone once said, you are the butter to my bread, the breath to my life. To my husband.”

คมคาย ได้ใจ คนดูน้ำตาซึม

ตัวหนัง, ดารา, เพลงประกอบ ลงตัวไปหมดครับ
เหมาะแก่การนำมาชมเป็นอย่างยิ่ง
ตอน นี้เข้าชิงลูกโลกทองคำในสาขา ภาพยนตร์เพลงหรือตลกยอดเยี่ยม และ Meryl Streep เข้าชิงในสาขา นักแสดงนำหญิงจากภาพยนตร์เพลงหรือตลกยอดเยี่ยม

จะ ว่าไปผู้กำกับคนนี้คงถนัดแนวนี้ Romantic Comedy เพราะเรื่องก่อนๆ ของเธอคือ Sleepless in Seattle และ You’ve got mail นี่ถ้าเอา Meg Ryan มาแสดงได้คงเอามาแสดงแล้ว แต่ยุคนี้ Sandra Bullock ก็ใช่ย่อยสำหรับแนวนี้

ทำไม Blogger ต้องดู ก็เพราะจะได้เห็นว่ามีคนคิดเหมือนเราเยอะ เชื่อว่า Blogger ทุกคนมีความฝัน อยากให้คนมาอ่าน มาแสดงความคิดเห็น เลยกลายเป็นหน้าที่ที่จะต้องเขียนให้คนที่ติดตามอ่าน Blog ของเราได้อ่านสม่ำเสมอ

จริงๆ แล้ว Blog ต้องมี Theme ที่ชัดเจน ถึงจะดังและติดตลาด หนังเรื่องนี้บอกไว้

หากดึงคนในครอบครัวมามีส่วนร่วมกับการเขียน Blog ได้จะดีมาก เหมือนในหนังเรื่องนี้

ให้ ใส่ความรู้สึกนึกคิดอย่างเต็มที่ และซื่อสัตย์ ใน Blog เหมือนตอนที่ Julie ทะเลาะกับสามี เธอก็เขียนความรู้สึกของเธอลง Blog สามีมาอ่านก็จะได้รู้ถึงความรู้สึกแท้จริง

อีกอย่างอย่าหวังว่าจะดังในชั่วข้ามคืน ต้องใช้เวลา ดูเราสิเขียนมาตั้งหลายปี ไม่ดังเสียที ต้องฝึกต่อไป

แม้ จะไม่ดังแต่ผมก็ชอบเขียน Blog เพราะได้บันทึกเรื่องราวที่เข้ามา ได้จดความรู้สึกเวลาดูหนัง อ่านหนังสือ เลี้ยงลูก หรือไปเที่ยวไหนๆ เวลากลับมาอ่านแล้วมีความสุขทุกที หรือเวลาจะแบ่งปันให้คนอื่นก็เป็นไปโดยง่าย
Julia Child คงคิดแบบนี้เหมือนกัน แค่เธอไม่มี Blog จะใช้ในยุคนั้น

การได้แบ่งปันเรื่องราวดีๆ ไว้ในโลกไซเบอร์ นี่คือสิ่งที่ทำให้ผมยังเขียน Blog
การได้พบคนคอเดียวกัน แนะนำต่อยอดสม่ำเสมอ ทำให้ผมชอบ Blog
การได้รับมิตรภาพ แบ่งปันของ ลดโลกร้อน ชวนกันทำความดี ทำให้ผมยิ่งรัก Blog

ส่งหนังเรื่องนี้ต่อไปให้ ดร.วรภัทร์ ก็แกเป็น Blogger ที่ผมนับถือท่านหนึ่ง

Blogger ท่านอื่นล่ะครับ ทำไมเขียน Blog? บอกกันบ้างนะครับ

มีความสุขทุกคนครับ

Happy-go-lucky

โชคของเรา เรากำหนดได้

ผู้กำกับ : Mike Leigh
นำแสดง : Sally Hawkins
ความยาว : ๑๑๘ นาที
ระดับความชอบ : ๘.๕/๑๐

หนังเรื่องนี้มีรางวัลรับประกันจากหลายเวที เป็นรางวัลดารานำฝ่ายหญิง แต่ออสการ์ไม่ได้นะครับ

หนังเดินเรื่องง่ายๆ เริ่มมานางเอกก็อารมณ์ดีรับกับถูกขโมยจักรยานเลย “ยังไม่ได้บอกลากันเลย” เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
แล้วเธอก็ใช้ชีวิตต่อไป

เธอ เริ่มเรียนขับรถยนต์หลังจากนั้นในสุดสัปดาห์ อาจารย์ดุมาก อีกเหตุผลหนึ่งคือเธอขี้เล่นและดื้อ ตัวอย่างเรื่องรองเท้ามีส้น ที่เธอใส่ตั้งแต่เรียนวันแรก อาจารย์ก็พร่ำบอกให้ถอดเสมอ
เธอไม่เคยโกรธเวลาถูกดุ แถมล้อเล่นเสียอีก นิสัยน่ารักเหล่านี้ ทำให้คนรอบข้างชอบเธอ ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์สอบขับรถจอมเฮี๊ยบ

นางเอกเป็นครูโรงเรียนอนุบาล ซึ่งก็เหมาะกับนิสัยเธอดีครับ

นางเอกแสดงดีมากสมกับหลายรางวัลที่กวาดมา ไม่เวอร์ อารมณ์ดี กำลังดี แสดงเป็นธรรมชาติมาก ดูแล้วคล้อยตามไปเลย

ทุกตำรามักจะพูดถึง Positive Thinking เราก็มักจะคิดว่าทำไม่ได้ตลอดเวลาหรอก แต่นางเอกของเราทำได้ ทำได้ดีเสียด้วย

โชคของเรา เรากำหนดได้ครับ ว่าจะให้เป็นอย่างไร
แค่อารมณ์ดี ก็เปลี่ยนชีวิต และเรื่องต่างๆ รอบข้างให้ดีขึ้นได้

กำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้เลยนะครับ
อารมณ์ดี แล้วจะโชคดี ตามชื่อเรื่องนั่นเอง
หนังเรื่องนี้บอกผมอย่างนี้ครับ

อารมณ์ดี มีความสุขทุกคนครับ

สมคิด ลวางกูร

ชีวิตสุดขั้ว

มีโอกาสดีได้ฟังการบรรยายของคุณสมคิด ลวางกูร ที่มาบรรยายที่บริษัทในหัวข้อ การเขียนบันทึก

ช่วงนั้นเขาเพิ่งออกหนังสือประวัติของตัวเอง และออกรายการเจาะใจ

เคย อ่านหนังสือผลงานของเขามา ๒ เล่มคือ หยุดความเลวที่ไล่ล่าคุณ และ นโยบายพระกู้ชาติ ซึ่งเล่มแรกซึ้งมาก น้ำตาไหลเป็นระยะๆ เล่มที่สองเป็นแนวทางของพระพยอมที่จะกู้ศีลธรรมให้กลับมา
เวลาไปงานสัปดาห์หนังสือก็จะเห็นบูธเขาบ่อยครั้ง

วันนี้มาถึงที่ จะพลาดได้ไง

ไม่ผิดหวังครับ
เริ่ม แรกเขาก็เล่าประวัติชีวิตสุดขั้วของเขาก่อน ซึ่งไม่ตรงกับหัวข้อ คุณสมคิดบอกว่าต้องการปูพื้นผู้ฟังว่า อย่าคิดว่าการเขียนมีข้อจำกัด ก็เด็กวัด ต่ำต้อย แย่งอาหารสุนัขทาน ยังบันทึกเรื่องราวจนได้ดี ทำไมพวกเราจะทำไม่ได้

คุณสมคิดเป็นชาวสุพรรณบุรีครับ
เริ่มแรกเป็นเด็กวัด มีพระจากกรุงเทพฯ มาที่วัดและบอกว่า อยากประสบความสำเร็จต้องอ่านหนังสือมากๆ เด็กชายสมคิดก็ทำตามอย่างเคร่งครัด
ข้อเด่นของคุณสมคิดคือ ทดลองทำในสิ่งที่รับรู้อย่างเต็มที่ จนมาเห็นผล แล้วค่อยประเมินอีกที
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ครับ
หนังสือในวัดทุกเล่มจึงถูกเด็กชายสมคิดอ่านจนหมด

จน มาเจอหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตของเด็กน้อยนีกอ่าน เป็นหนังสือของ เดล คาร์เนกี้ ที่ไม่ทราบแม้ชื่อเล่ม เพราะหน้าแรกหายไป เปิดอ่านก็หน้าที่ ๑๑ แล้ว กระดาษกรอบ ต้องค่อยๆ เปิด
สิ่งที่หนังสือเล่มนี้บอกไว้คือ คนเราจะประสบความสำเร็จต้องตั้งเป้าหมาย
แล้วคุณสมคิดก็อธิบายคุณลักษณะของเป้าหมายชีวิตที่ดี
สุดท้ายเขาตั้งเป้าหมาย ๕ ข้อ คือ
1. มีเงินหนึ่งล้านบาทภายในอายุ ๒๕ ปี
2. ต้องพูดภาษาอังกฤษได้
3. ต้องทำงานบนเครื่องบิน
4. ต้องไปต่างประเทศ
5. ต้องได้แฟนเป็นนางงาม

ลองคิดดูสิครับ เด็กวัดต่ำต้อย แย่งอาหารกันกิน กล้าที่จะฝันขนาดนี้ ถ้าเป็นคุณได้ยินเรื่องนี้จะคิดอย่างไร

ขั้น ตอนต่อไปในตำราของเดล คาร์เนกี้ บอกว่าให้ประกาศให้โลกรู้ถึงเป้าหมายในชีวิต เด็กชายสมคิดก็บอกให้เพื่อนเด็กวัดฟัง เป็นไปตามคาดเพื่อนทำหน้างงๆ

แต่เด็กชายสมคิดไม่งง ดำเนินการเพื่อให้ได้เป้าหมายในชีวิตอย่างแน่วแน่

ตอนแรกบวชเณรแต่ดูแล้วจะทำให้ห่างไกลเป้าหมายของชีวิตมาก
เลยออกมาชกมวย เพราะเห็นแชมป์โลก ชาติชาย เชี่ยวน้อย ชกได้เงินครั้งละเป็นแสน
แต่คุณแม่ขอร้องให้เลิก ก็ไม่ดื้อครับ เลิกชกมวย

แล้วก็เข้ากรุงเทพทำงานในห้องอาหาร แต่มาติดเหล้าและผู้หญิง คุณสมคิดเรียกว่าเป็นโรค ภูมิคุ้มกันความเลวบกพร่อง

แล้วก็เป็นแม่อีกที่ขอให้เลิก คุณสมคิดก็ทำตาม และแม่ฝากให้ทำงานที่การบินไทย ฝากกับเจ้านายของแม่ที่แม่ไปทำงานบ้านด้วย

ทำงานการบินไทย แล้วเปลี่ยนไปทำสายการบินต่างชาติ
ตอนแรกเขาให้ไปล้างห้องน้ำ เสียใจ ล้างห้องน้ำไป ร้องไห้ไป
จน ทางสายการบินเขาหาคนจัดการการบริการบนเครื่อง คุณสมคิดจึงไปสมัครเพราะเคยทำเมื่ออยู่การบินไทย แล้วก็จัดการได้ดี การงานเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำงานหนักจนเลือดออกทางจมูก เลยต้องหยุดพัก

กลับมาใช้ชีวิตเมืองไทย อกหักครับ เลยตั้งเป้าหมายใหม่อีกครั้ง ๕ ข้อ ของเดิมสำเร็จหมดแล้วนะครับ แม้แต่ข้อสุดท้าย มีแฟนเป็นนางงาม!

จำเนื้อหาห้าข้อหลังไม่ได้หมด จำได้เลาๆ ว่ามีเรื่องอยากมีชื่อเสียงเหมือนพี่เบิร์ด

ช่วง นี้คุณสมคิดเริ่มฝึกฝนการเขียน ฝึกไปเรื่อยๆ มีเกร็ดจากหนังสือขายดี Outlier ที่เคยได้ทราบมาว่า ต้อง ๑๐,๐๐๐ ชั่วโมงครับ สำหรับการฝึกฝน รับรองได้ดีแน่นอน
คุณสมคิดก็น่าจะฝึกถึงนะครับ วันหนึ่งบทความที่เขาเขียนเลยได้ลงหนังสือพิมพ์ ทำให้รู้ว่าสิ่งที่ฝึกฝนสัมฤทธิ์ผล

เรื่องที่ทำช่วงนี้คือปั้นนักพูด ปั้นนักเขียน จัด Event สุดท้ายก็เขียนหนังสือขายดีหลายเล่ม จนมีชื่อเสียงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

แนวคิดเด็ดๆ อีกเรื่องคือเมื่อชอบไปเที่ยวรีสอร์ท ก็ปรับปรุงบ้านให้กลายเป็นรีสอร์ทเสียเลย จะได้อยู่รีสอร์ททุกวัน
ช่วงนี้ชีวิตผมอยู่คอนโดก็เหมือนอยู่โรงแรมทุกวันเลยครับ บรรยากาศเป็นอย่างนั้น ไม่ค่อยเหมือนอยู่บ้านเลย แต่ก็ลงตัวในวิถีคนเมืองนะ

เทคนิคการเขียน เท่าที่จำได้ เช่น
ต้องตั้งชื่อเรื่องให้โดนใจ

หาแนวนักเขียนต้นแบบมาปรับใช้ ของคุณสมคิด เช่น
1. พิษณุ นิลกลัด ที่นำคำของกีฬาต่างชนิดมาใช้ปนกัน
2. หมู่โฮม ที่อ่านแล้วจะเดาตอนจบไม่ถูก
แล้วก็เอาจุดเด่นของนักเขียนที่คุณสมคิดชื่นชอบมาผสมรวมเป็นตัวเขา

ส่วนของเราน่ะหรือ นักเขียนต้นแบบโดนๆ คือ
1. หนุ่มเมืองจันท์ เขียนได้ไหลลื่น น่าอ่านมาก
2. พี่จิก-ประภาส ชลศรานนท์ ได้ความรู้ แนวคิดทุกครั้งที่อ่าน
3. จำลอง ฝั่งชลจิตร ถ้าเรื่องสั้นต้องคนนี้ครับ
4. พี่จุ้ย แกชอบยุให้ฝันบ่อยดี
5. นิ้วกลม คนรุ่นใหม่ที่บทบันทึกต่างๆ เข้าตา เข้าใจ มาก ชอบเวลาเขาเขียนแนวธรรมะเหมือนในเล่ม กัมพูชาพริบตาเดียว ครับ คมคาย ได้ใจ
ก็คงต้องจับทางแล้วนำมาปรับใช้กับเราครับ

เนื้อเรื่องก็ต้องน่าสนใจ พร้อมทั้งทิ้งท้ายให้คนอ่านได้คิดต่อด้วย

สุด ท้ายก็จบที่ทางธรรมครับ คุณสมคิดบอกว่าความสุขที่สุดก็ตอนได้มาปฏิบัติธรรมนี่แหละครับ เพื่อทราบครับท่านทั้งหลายที่แสวงหาความสุขกันอยู่

คติทิ้งท้ายจากชายคนนี้ “การออกกำลังกายที่ดีที่สุด คือการก้มช่วยเหลือคนที่ล้มลง”

นี่แหละครับ ชีวิตสุดขั้วของชายคนนี้ สมคิด ลวางกูร

ยินดีที่ได้รู้จักครับ

ชีวิตนี้ไม่มีทางตัน “ตัน โออิชิ”

ผู้เรียบเรียง : สรกล อดุลยานนท์, วทัญญู รณชิตพานิชยกิจ
สำนักพิมพ์ : มติชน
จำนวนหน้า : ๒๐๖ หน้า
ราคา : ๑๕๕ บาท
ระดับความชอบ : ๙.๕/๑๐

เล่มนี้เป็นหนึ่งในสี่ที่หนุ่มเมืองจันท์แนะนำให้แก่นักศึกษา สามเล่มก่อนที่อ่านและเขียนถึงไปแล้ว คือ หลังอาน, หนังสือชุดคุยกับประภาส และ ความฝันโง่ๆ

เมื่อได้อ่านเล่มนี้ก็ทำให้หมดสงสัยเกี่ยวกับแคมเปญต่างๆ ของโออิชิที่ออกมาได้น่าสนใจมาก คุณตันคิดเรื่องแบบนี้มาโดยตลอดอยู่แล้วครับ

เล่มนี้เป็นประวัติของคุณตัน ภาสกรนที โดยคนเรียบเรียงก็ใช่ใครที่ไหน หนุ่มเมืองจันท์นั่นแหละครับ

คุณ ตันเป็นคนที่คิดสม่ำเสมอ ประเมินเรื่องต่างๆ อย่างมีเหตุผล การทำธุรกิจทุกอย่างต้องมั่นใจ และไม่เป็นแฟชั่น เช่น ชาไข่มุก ที่มีคนมาชวนหลายครั้ง แกก็ไม่ทำ เพราะเห็นว่าเป็นแฟชั่น อยู่ไม่นาน
แต่ กับธุรกิจถ่ายภาพแต่งงาน ที่ทำเพราะถามเพื่อผู้หญิงว่า “แหวนเพชรกับรูปแต่งงาน อยากได้อะไรมากกว่ากัน?” เพื่อนตอบว่า “แหวนเพชรก็อยากได้นะ แต่รูปแต่งงานอยากได้มากกว่า เพราะชีวิตนี้มีครั้งเดียว” เท่านั้นแหละครับ มั่นใจ หาข้อมูลทันที วิธีหาข้อมูลคือเข้าไปคุยกับผู้รู้ครับ เรื่องถ่ายรูปก็ไปถึงแหล่งเลย ไม่ว่าไต้หวัน สิงคโปร์ หรือ มาเลเซีย คุยๆ แล้วก็คุย จนทำให้มั่นใจ ร้านถ่ายรูปแต่งงานเลยเกิดขึ้นมา
แคมเปญต่างๆ ก็ออกมามากมายในช่วงนั้น

อีก ช่วงที่ประทับใจคือธุรกิจแรกนั่นคือร้านขายหนังสือที่ท่ารถทัวร์เมืองชล ไม่มีประสบการณ์เลย แต่หมั่นถามจนรู้ว่าจะต้องซื้อหนังสืออะไรมาบ้าง แต่หนังสือ Lot แรกเสียหายจากน้ำฝนไปหมด ก็ไม่ท้อ ไปซื้อมาใหม่จนได้เปิดร้านหนังสือ
ที่โดนมากๆ คือ Service Mind ลูกค้าคนไหนชอบอ่านหนังสือเล่มไหน ชื่ออะไร คุณตันรู้หมด ลูกค้าคนนั้นเดินมา เตรียมนิตยสารเล่มนั้นไว้เลย ในฐานะคนซื้อหนังสือ ขายแบบนี้รักตายเลยครับ
ความขยันไม่ต้องพูดถึง เวลาว่างก็เอาหนังสือพิมพ์ไปขายบนรถทัวร์ รู้จักสังเกตทุกอย่าง จนขยายกิจการร้านเป็นร้านเครื่องเขียน จนกระเป๋าที่ร้านคุณตันแจกกลายเป็นของที่วัยรุ่นในชลบุรีต้องมีในยุคหนึ่ง ช่างเป็นคนที่มีหัวด้านนี้จริงๆ

อีกเรื่องคือเป็นคนที่คิดไว และ ซื่อสัตย์ โดนช่วงฟองสบู่แตกเหมือนกัน แต่หั่นบางส่วนมาใช้หนี้อย่างสม่ำเสมอ จนเป็นลูกค้าชั้นดีของธนาคาร จนกลับมากู้ธนาคารเดิมได้ด้วยความเต็มใจ

การคบคน การหมั่นให้ความรู้กับพนักงานในทีม ดูแลพนักงาน ให้เขามาเป็นหุ้นส่วนในบริษัทให้ได้ มีให้เห็นหมดครับ ในชีวิตผู้ชายคนนี้

การหาทางในธุรกิจก็คิดได้เสมอ เปิดโออิชิ เพราะคุณพ่อเพื่อนเคยเล่าให้ฟังว่าเคยทานแบบนี้ที่อเมริกา
เมื่อเปิดแล้วก็เอาข้อมูลมาดูว่าชาเขียวขายดีสุด ก็เลยตัดสินใจทำชาเขียวขาย

ทุกครั้งที่ทำเขาทำเต็มที่ครับ ไปแต่เช้า กลับหลังคนอื่น ไม่เคยปฏิเสธงาน

จุด เด่นอีกอย่างคือ Spider marketing เหมือนที่เป็นรูปในหน้าปก นั่นคือเอาธุรกิจที่เริ่มแข็งแรงแล้วมาช่วยธุรกิจเปิดใหม่ เช่น แจกบัตรโออิชิ ในร้านถ่ายรูป เพราะร้านถ่ายรูปเริ่มไปได้แล้ว และก็มีเทคนิคในการแจก เพราะต้องกำหนดให้หมดเขตภายในหนึ่งสัปดาห์ ตามนิสัยคนไทยที่จะทานเมื่อใกล้หมดเวลา

อ่านแล้วจะหมดสงสัยในชีวิตของชายคนนี้
ไม่ประมาท และเป็นคนดี เป็นสองข้อคิดที่ได้ยินจากทีวี

เหมาะแก่การอ่านเป็นอย่างยิ่งครับ หนังสือเล่มนี้ ได้อะไรเยอะเลย

ลับแล, แก่งคอย

แก่งคอยรำลึก

ผู้เขียน : อุทิศ เหมะมูล
สำนักพิมพ์ : แพรว
จำนวนหน้า : ๔๔๘ หน้า
ราคา : ๒๗๕ หน้า
ระดับความชอบ : ๙/๑๐

To: uthi...@yahoo.com
Sent: Wednesday, December 02, 2009 8:50:05 PM

เรียน คุณอุทิศ เหมะมูล
ผมเคยทำงานที่โรงปูนแก่งคอยเป็นเวลาหกปีก่อนย้ายมาทำงานกรุงเทพฯ ผมย้ายมาที่แก่งคอยเดือนมิถุนายน ๒๕๔๕ จน เมษายน ๒๕๕๒ ถึงย้ายจากไป

ตั้งใจ จะบันทึกเรื่องราวประทับใจต่างๆ ขณะใช้ชีวิตที่แก่งคอย ซึ่งเป็นสถานที่ๆ ผมทำงานแล้วมีความสุขมาก คนที่นี่รักกันมาก ในบ้านพักรู้จักกันทุกบ้าน เย็นๆ ตั้งวงเหล้ากัน เข้าไปแจมได้หมด
การสั่งงานที่นี่ก็มาจากวงเหล้า นี่แหละครับ เป็นช่วงก่อนเมาครับที่ยังเป็นการเป็นงาน ที่นี่เข้าทางมากเพราะปรัชญาโกวเล้งติดใจเสมอ “ข้าพเจ้าไม่ได้ชอบรสชาติของสุรา แต่ข้าพเจ้าชอบบรรยากาศในวงสุรา”

จนตอนนี้ก็ยังเขียนไปไม่ถึงไหนเลย
แต่มาอ่านนิยายเล่มนี้ของคุณ อย่างน้อยก็ทำให้ภาพรำลึกของแก่งคอยเห็นชัดขึ้นครับ

โรงเรียนแสงวิทยาในตลาดได้ผ่านประจำเลยครับ วันก่อนผ่านไปยังเห็นรูปคุณอยู่หน้าโรงเรียนเลย

โดยส่วนตัวจึงชอบส่วนที่เล่าเรื่องแก่งคอย และโรงปูนครับ เพราะใกล้ตัว อ่านส่วนนี้ไปก็ยิ้มไป น่าจะเป็นชีวิตคุณบางส่วนด้วยสินะ
ส่วนเรื่องต้นแหน ลองถามพี่ๆ ที่ใกล้เกษียณเขาก็เล่าแบบเดียวกัน ว่าเคยมี และโดนถนนตัดผ่านไปหมดแล้ว เหมือนที่คุณเล่าไว้

น้องใน Blog บอกว่าคุณชอบดูหนัง เลยเล่าเรื่องเป็นฉากๆ เหมือนหนัง ผมเห็นด้วยครับ
ว่า แต่มีหนังในดวงใจไหม? บอกกันบ้างสิครับ ที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amp-atom&month=10-2007&date=09&group=2&gblog=45
น้องคนนี้แหละชอบเล่มนี้มาก เขียนถึงเสียน่าอ่าน ออกปากขอยืมก็ไม่ได้ เพราะให้คนอื่นยืมไปเสียแล้ว
เลยต้องซื้อเลย

ปกติผมจะไม่ค่อยนิยายที่กำลังดังครับ แต่เล่มนี้ของคุณอ่านในปีที่ได้รางวัลเลย เพราะทนแรงเชียร์ไม่ไหว แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ

มี อีกเรื่องที่ชอบคือทำให้หวนรำลึกชีวิตในวัยเยาว์ของผมเหมือนกัน ของขวัญหลังพ่อแม่ผมเมื่อกลับจากตลาด เป็นการ์ตูนเล่มละบาท หรือถ้าพิเศษหน่อย จะเป็นเล่มละห้าบาท และคุณลุงปรีชา ทรัพย์โสภา นี่ ฟังทุกเช้าเลยครับ จนแกเสียชีวิตไปนั่นแหละ จึงอดฟัง เรื่องราวเราคงใกล้เคียงกันนะครับ นายลับแล

อ่านหนังสือจบแล้วก็มาอ่านบทวิจารณ์ของคุณจรูญพร ป. ในนิตยสารสีสัน ก็กระจ่างขึ้นถึงที่มาที่ไปของตัวละครแต่ละตัว

โดยรวมก็ถือว่าคุ้มกับสองปีที่คุณทุ่มเทนะครับ ขอชื่นชม

แนว คิดที่ได้จากเรื่องนี้คือต้องไม่คิดว่าเราเป็นใหญ่ในทุกอย่าง แม้เราจะมีปมด้อยมามากเท่าไหร่ แต่เราก็ต้องลืมมันให้ได้ มิเช่นนั้นจะส่งผลกระทบกับคนรอบข้างของเรา โดยเฉพาะลูกน้อยของเรา
หากเราทำพฤติกรรมเช่นใดไว้ ลูกของเราจะรับพฤติกรรมนั้นๆ ไปปรับใช้อย่างแน่นอน
ทำดีให้เด็กดู เหมือนที่เขาชอบว่ากันนั่นแหละดีที่สุด

ฝืนหน่อยนะครับ แต่ก็ต้องทำ

อ่านเล่มนี้คิดได้อย่างนี้ครับ

ว่าแต่ ลับแล นี่ ใช่คุณหรือเปล่าครับ?

ขอแสดงความนับถือ