บันทึกแรกของฉัน!
โดย scharlie เมื่อ 4 กันยายน 2009 เวลา 2:50 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1221 ยินดีต้อนรับสู่ลานปัญญา
- ท่านได้สร้างบล็อกของท่านเองแล้วที่นี่
- บันทึกนี้เป็นข้อความทดสอบ
- ท่านสามารถเข้า Dashboard หรือ Site Admin เพื่อลบบันทึกนี้ออกได้
- ขอแนะนำให้ท่านเขียนบันทึกแนะนำตัวเอง เพื่อทำความรู้จักกับสมาชิกอื่นๆ
- คำแนะนำภาษาไทยอยู่ในบล็อกลานคู่มือบ้านลานปัญญา
ยินดีต้อนรับสู่ลานปัญญา
6 ความคิดเห็น
Hi, this is a comment.
To delete a comment, just log in, and view the posts’ comments, there you will have the option to edit or delete them.
อยู่ในกรุงเทพมา 60 ปี ต้องผจญกับการต่อสู้และการแข่งขันมาตลอดชีวิต ซึ่งใครที่ได้เข้ามาอยู่อย่างถาวรหรือขาจรก็จะรู้ถึงความสาหัสสากรรจ์ของการจราจร ความปลอดภัย ค่าครองชีพ สารพันปัญหา จากการที่เป็นคนใจร้อน หงุดหงิดง่าย จากการจราจรติดขัด จากความเห็นแก่ตัวของผู้ใช้ถนนร่วมกัน จนกลายเป็นคนที่ใจเย็นจะติดอย่างไรก็ทนได้ ยกเว้นเวลาปวดภายใน ที่อยากขับของเสียออกไม่ว่าหนักหรือเบา จนกระทั่งมีความรู้สึกว่าเราอยู่เพื่ออะไร เช้าก็ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้น ตกเย็นกว่าจะกลับถึงบ้านก็ตะวันตกดินไปแล้ว วนเวียนอยู่อย่างไม่มีสิ้นสุด แต่ก็ต้องทนเพราะถ้าไปอยู่ที่อื่นก็ไม่รู้จะทำอะไรกิน เพราะความรู้ความสามารถจำกัด เกิดในกรุง อยู่ในกรุงมาตลอดชีวิต ไปอยู่ในชนบทจะอยู่อย่างไรได้ ประกอบกับมีภาระครอบครัวที่มีภรรยาและบุตรอีก 2 คนที่ต้องรับผิดชอบ จึงต้องทนอยู่จนวาระสุดท้าย(ครบ 60 ปี) ที่เขาไม่จ้างให้ทำงานแล้ว เมื่อตอนอายุ 30 ได้มีโอกาสเดินทางมาเที่ยวกับเพื่อนร่วมงานที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เห็นบรรยากาศแล้วรู้สึกสดชื่น ก็เลยคิดว่าน่าจะหาที่ไว้อยู่หลังจากที่ถูกเลิกจ้างเป็นที่สุดท้ายสำหรับชีวิต และก็ได้ที่มาแปลงหนึ่งตามปรารถนา ตั้งแต่นั้นก็ ปล่อยให้ชาวบ้านที่รู้จักให้เขาช่วยดู ให้เขาทำมาหากิน และก็ปลูกสักทิ้งไว้ส่วนหนึ่ง นาน ๆก็จะแวะเวียนมาดูสักครั้งเพื่อแสดงสิทธิ ก่อนจะปลดเกษียณการทำงานได้คิดว่าไม่สามารถจะอยู่ในกรุงต่อไปได้แล้ว คงต้องเฉาตายในห้องสี่เหลี่ยมแน่ๆ จึงตัดสินใจปรึกษากับภรรยานำเงินที่เก็บออมไว้มาปลูกหลังเล็ก ๆ ไว้อยู่กินกันตามลำพัง 2 คน ดีกว่า ให้ภรรยาล่วงหน้ามาก่อน 2 ปีก่อนเกษียณ และตลอดเวลา 2 ปี ได้เดินทาง กทม. – เพชรบูรณ์ ทุกอาทิตย์ไม่มีขาด ชีวิตชนบทที่ไม่เคยสัมผัส อยู่ท่ามกลางป่าเขา ไม่มีแม้ไฟฟ้าและน้ำประปา ต้องดิ้นรนและวางแผน เพื่อให้ได้สิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อให้สามารถมีชีวิตอยู่รอดให้ได้ ความรู้เรื่องการเกษตรก็ไม่มี ปัญหามีไว้ให้แก้จริง ๆ ขณะนี้ผมอยู่มาได้ 3 ปีแล้ว (ภรรยา 5 ปี) อยู่อย่างเศรษฐกิจพอเพียง กินอยู่อย่างจำกัด ดูเหมือนเป็นปัญหาแต่ก็มีความสุขมาก เพราะเราได้อยู่กับธรรมชาติ ที่สงบเงียบ จากท้องนาเก่าเป็นสวนที่มีต้นไม้ร่มรื่น ดอกไม้ส่งกลิ่นหอมไปทั้งสวน มีนกส่งเสียงเจื้อยแจ้ว แม้จะขาดสังคมไปบ้างแต่ก็มีความสุขกับธรรมชาติที่แทบไม่ได้สัมผัสมาตลอดระยะเวลา 60 ปี ที่ทำงาน ที่นี่จึงเป็นลานสุดท้ายที่ตั้งใจจะอยู่จนวาระสุดท้ายของชีวิต
ได้อ่านหนังสือเจ้าเป็นไผ ๑ จึงได้ทราบ web นี้ เห็นว่าจะทำให้สมองพัฒนาได้ แต่ความรู้ด้านนี้ยังน้อยมาก หวังว่าท่านใดจะกรุณาเป็นวิทยาทาน ในทุกเรื่องจะเป็นพระคุณยิ่ง เพราะถึงอายุมากแล้วแต่ก็มารับรู้ในเรื่องใหม่ๆทั้งสิ้น
สวัสดีครับ ผมคิดว่าน่าจะเริ่มต้นด้วยการหาชื่อสำหรับเรียกขานเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครับ ไม่มีใครรู้ทั้งหมดและไม่มีใครที่ไม่รู้อะไรเลย ความรู้/แง่คิดแลกเปลี่ยนกันได้ เรียนรู้ ปรับปรุงได้เช่นกัน
ไม่ทราบว่าพอจะบอกได้ไหมครับว่าได้อ่านเจ้าเป็นไผ๑ จากที่ไหนครับ
ขอต้อนรับเข้าสู่ลานครับ
สวัสดีค่ะ หนูขอเรียกคุณอาละกันนะคะ ขอชื่นชมในการสู้บากบั่นนะคะ
หนูเล่าของหนูบ้าง หนูเกิดมาท่ามกลางธุรกิจโรงสีของญาติทางเตี่ย อยู่สุขสบาย เหมือนชีวิตคุณหนู เท้าแทบไม่ติดดิน แต่เมื่อเตี่ยเริ่มมีลูกหลายคน ต้องออกจากกงสี และญาติทางเตี่ยต้องการให้สร้างฐานะตัวเองให้ได้ เตี่ยขายสิบล้อ ซื้อที่ สร้างโรงสีขนาดกลางในที่ๆไม่มีน้ำไม่มีไฟ ว่างจากโรงสี แม่ปลูกผัก ปลูกข้าวโพด ถั่วลิสง เราช่วยแม่อย่างสนุกสนาน จากเคยสบาย อายุ 10ขวบเอง ต้องช่วยเตี่ยสีข้าว ช่วยหาบน้ำขึ้นมาใส่โอ่ง จากใช้ถังเล็กๆ จนใช้ปีบหาบ เพื่อไว้อาบน้ำให้หมู เพราะหมูลงไปอาบน้ำเองที่แม่น้ำไม่ได้ 5555 เดือนเมษา ร้อนมาก ก็ต้องลงไปหาบน้ำขณะ้ที่ยงๆ ร้อนทั้งเท้า หนักทั้งที่บ่า อิอิ กลางคืนใช้ตะเกียง อ่านหนังสือ รีดผ้าชุดนักเรียน ด้วยเตาถ่าน ต้องนาบกับใบตองเมื่อเตารีดร้อนเกินไป อดทน มาร่วม 3 ปี ไฟฟ้าจึงเข้าถึง เตี่ยจึงซื้อเครื่องสูบน้ำให้ ก็ยังสงสัยทำไม่เตี่ยไม่ซื้อเครื่องสูบน้ำเติมน้ำมัน อิอิ แต่หนูสุขสบาย หนูว่ายน้ำเป็นเอง ทำทุกอย่างเอง โดยมีแม่-เตี่ยทำให้ดู ทำทุกอย่างที่ได้มาซึ่งเงิน แต่ทำไม่ได้อย่างหนึ่งคือ ตอนหมูตัวผู้ไม่ได้เหมือนอย่างเตี่ย อิอิ ขณะนี้หนูรับราชการ เหลือเวลา ที่ส่งลุูกเรียนอีก 10 ปีข้างหน้า หนูก็ต้องไปอย่างคุณอาทำอยู่นี่ละคะ เขียนอีกนะคะคุณอา
ผมได้อ่านเจ้าเป็นไผ ๑ เป็นหนังสือที่ได้จ่ายให้กับเจ้าหน้าที่อนามัยที่ได้เข้าร่วมประชุม ที่ กทม. ผมไม่ทราบว่าที่ไหน ทางอนามัยให้ผมมาอ่านก่อน ทำให้ทราบถึงวิถีชีวิตของแต่ละท่านในหนังสือนี้ ไม่ว่าจะเป็นอัยการ แพทย์ พยาบาล ครู ฯลฯ ล้วนได้มาด้วยความยากลำบาก อ่านแล้วได้แง่คิดมากมาย ยังมีครูบา ช่วยทำบทคัดย่อให้ในแต่ละคน เป็นหนังสือที่น่าอ่านเล่มหนึ่งครับ