นิทานหิ่งห้อย

โดย khwansumana เมื่อ 13 June 2010 เวลา 1:04 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1826

ที่มา : คุณ หมากระป๋อง

… นิทานหิ่งห้อย
… ตอนเรื่องราวของท้องฟ้า

ณ ดินแดนอันไกลโพ้นไกลเกินฝัน เกินกว่าใครสักคนจะนึกถึงว่ามีดินแดนที่แสนวิเศษเช่นนี้อยู่บนพื้นโลกเดียวกับเรา และที่นี้คือเกาะหิ่งห้อย เกาะที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอของความฝัน และการผจญภัยของเรื่องเล่าผู้คนที่นี้ไม่เคยต้องทำงานพวกเขามีเพียงหน้าที่เดียวคือการช่วยรักษาธรรมชาติให้ยังคงอยู่แล้วไม่ว่าพวกเขาจะต้องการสิ่งใด ธรรมชาติจะมอบให้เขาเสมอ คติประจำเกาะหิ่งห้อยที่ทุกคนจดจำจนขึ้นใจคือ “ธรรมชาติคือเรา เราคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่มีเขาไม่มีเรา”

ที่เกาะหิ่งห้อยมีประชากรไม่มากไม่น้อย มีการปกครองเป็นชนเผ่า มีชุมชนหลากหลายชุมชนอยู่ภายในเกาะ แต่พวกเขาล้วนรักกันเหมือนดังพี่น้อง ทุกชุมชนจะมีการปกครองตนเองโดยผู้นำเผ่าที่เรียนกันว่า “กอญ่า” และ กอญ่า ทุกๆคน จะต้องอยู่ภายใต้อำนาจของ “ท่านดาเก๊าะ” ซึ่งเป็นท่านเจ้าของเกาะ ท่านดาเก๊าะคนปัจจุบันเป็นลูกหลานของท่านดาเก๊าะคนแรกที่เป็นผู้ค้นพบและบุกเบิกเกาะหิ่งห้อยแห่งนี้เมื่อ ๓พัน ๑ร้อย ๒๑ ล้านปีมาแล้ว ผู้คนที่นี้ต่างมีอายุยื่นยาวเพราะพวกเขาอยู่กับธรรมชาติที่ปราศจากสิ่งอันตรายที่มนุษย์อย่างเราๆเป็นผู้สร้าง….

ในค่ำคืนหนึ่งขณะที่ประชากรทุกคนหลับใหลไปหมดแล้ว เด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนหลังคามากิ๑ มองขึ้นไปบนท้องฟ้ากับ โดน่า๒ เพื่อนรัก (ชื่อ อากาตู)
[๑มากิ เป็นคำเรียกที่อยู่อาศัยมีลักษณะคล้ายที่อยู่ของชาวเอสกิโม ทำจากดินเหนียว ๒โดน่า เป็นสตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งคล้ายอีกัวน่าแต่มีสีสรรสดใสแต่มีตากลมโตขนาดใหญ่มาก]

“นี้ นาบิโน เจ้าเคยสงสัยไหมว่าดาวมาจากไหน”
“………….”อากาตูไม่ได้ตอบอะไรพลางหันหน้าไปทางเด็กชาย (ความจริงมันตอบไม่ได้ต่างหาก…)
“ท่านปู่ของเราเคยเล่าให้เราฟังว่า นาน…มาแล้วบนท้องฟ้านั้นไม่ได้มีดวงดาวมากมายเหมือนอย่างตอนนี้ ฟ้านั้นอยู่เดียวดายเพียงลำพัง วันแล้ววันเล่าไม่เคยมีใครสนใจมันเลย มันต้องร้องไห้เพียงลำพังอยู่เป็นประจำ มีอยู่วันหนึ่งเจ้าหิ่งห้อยน้อยรับรู้ถึงความโศกเศร้าของท้องฟ้า แต่มันไม่สามารถที่จะบอกให้ท้องฟ้านั้นรับรู้ได้ เพราะเสียงของมันเบาเกินไป ครั้งจะบินขึ้นไปหาท้องฟ้าปีกของมันก็เล็กเกินกว่าจะบินไหว หิ่งห้อยน้อยพยายามหาวิ่งที่มากมายเพื่อจะทำให้ท้องฟ้านั้นหายเศร้าโศก”…
“ทำไม อากาตู เจ้าอยากรู้หรอว่าทำไมหิ่งห้อยต้องทำเช่นนั้น?”
“………..” อากาตู
“ก็เพราะว่าหิ่งห้อยนั้นรู้ว่า พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งเดียวกันบนโลกใบนี้ โลกนั้นเหมือนดังร่างกาย เราเป็นเพียงอวัยวะเล็กๆของโลก โลกจะมีชีวิตที่เป็นปกติหรือเจ็บป่วยนั้นก็ย่อมขึ้นกับอวัยวะภายในร่างกายเช่นเรา หิ่งห้อยกับท้องฟ้าก็เช่นกัน ต่างก็เป็นอวัยวะของโลก เราต่างใกล้กันหากเพียงเปิดใจรับมัน ธรรมชาติอยู่ใกล้เราเสมอ ท่านปู่บอกว่า ณ ดินแดนที่ห่างไกลออกไปจากเกาะหิ่งห้อยเกินกว่าจะประมาณได้ ผู้คนที่นั้นละทิ้งธรรมชาติ พวกเขาน่าสงสารเพราะไม่รู้ถึงความเกี่ยวพันของกันและกันด้วยสายใยที่เราไม่อาจมองเห็น เหมือนอวัยวะที่เกี่ยวพันกันเช่นเราเจ็บที่ขา ความเจ็บจะรับรู้ไปถึงสมองแบบนั้นแหละ แต่หิ่งห้อยเข้าใจถึงข้อนั้นดี และพยายามที่จะช่วยท้องฟ้า และโลกไว้”
“แล้วหิ่งห้อยทำยังไงนะหรอ?”
“………..”อากาตูยังคงเงียบ

หิ่งห้อยน้อยบินกลับไปยังหมูบ้านที่เหล่าหิ่งห้อยอาศัยอยู่ ผู้เฒ่าหิ่งห้อยสังเกตเห็นถึงความโศกเศร้าที่อยู่ในใจของหิ่งห้อยน้อยจึงถาม หิ่งห้อยน้อยว่า “ไงเกิดอันใดทำให้ใจของเจ้าหมองเศร้าหรือ” หิ่งห้อยน้อยจึงเล่าเรื่องความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นกับท้องฟ้าให้ ผู้เฒ่าหิ่งห้อยฟัง ผู้เฒ่าหิ่งห้อยจึงเรียกประชุมเหล่าหิ่งห้อยทั้งหลายเพื่อช่วยเหลือท้องฟ้าให้พ้นจากความโศกเศร้า….
แม้นหิ่งห้อยน้อยจะมีแสงเพียงน้อยนิดเกินกว่าจะแปร่งประกายให้ท้องฟ้าได้รับรู้ แต่หิ่งห้อยมากมายในหมู่บ้านอาจรวมตัวกันสร้างแสงที่สว่างและทอประกายได้ เหล่าหิ่งห้อยทั้งหลายจึงมารวมตัวกันเพื่อแปร่งแสงอย่างสุดกำลังความสามรถที่มี
แต่ทว่าระยะทางของพื้นดินกับพื้นฟ้านั้นช่างห่างไกลกันเหลือเกิน ท้องฟ้าคงไม่มีทางสังเกตเห็นแสงน้อยนิดที่สะท้อนจากพื้นดินได้ พวกหิ่งห้อยต่างหมดหวัง พวกเขาคงไม่อาจช่วยท้องฟ้าจากความเศร้าโศกได้ แสงที่มีเริ่มลดน้อยลงๆด้วยความท้อแท้
“หยุดก่อนทุกคน พวกเราบินขึ้นไปได้นี้ เรามีปีก” หิ่งห้อยน้อยพูดขึ้น
“ใช่เราบินได้ แต่ไม่อาจบินขึ้นไปสูงขนาดนั้นได้หรอกนะ” หิ่งห้อยตัวขึ้นพูดขึ้น
“แต่ถ้าเราทุกคนร่วมมือกันละก็อาจจะมีหวังก็ได้” หิ่งห้อยน้อยกล่าว
“พวกเราอาจหมดแรงและตายก็ได้นะ ทำไมเราต้องเสียสละขนาดนั้นเพื่อท้องฟ้าด้วยละ?”หิ่งห้อยตัวเดิมพูด
“เพราะเขาคือเรา พวกเราคือส่วนหนึ่งของโลก เราจะอยู่ได้เพราะเรามีกันและกัน” หิ่งห้อยน้อยพูด
ผู้เฒ่าหิ่งห้อยที่ดูการสนทนามาตลอดบินเข้ามาหาหิ่งห้อยน้อยแล้วพูดว่า “ข้าจะไปกับเจ้า” เหล่าหิ่งห้อยน้อยใหญ่ต่างบินมารวมตัวกันเรื่อยๆๆจับมือประสานกันไว้แน่จากกลุ่มเล็กๆก็เริ่มใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้น แล้วพวกเขาก็เริ่มออกตัวบินขึ้นสู่ท้องฟ้า สูงขึ้นๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ

มีหิ่งห้อยมากมายที่ไม่อาจจะสู้แรงของแรงกดอากาศได้ไหวร่วงหล่นลงสู่พื้นดินข้างล่าง หิ่งห้อยน้อยและหิ่งห้อยที่เหลือพยายามบินต่อไปสูงขึ้นสู้ขึ้นจนในที่สุด หิ่งห้อยตัวอื่นๆก็ไม่อาจทนต่อความกดอากาศที่มากเกินไปได้ เหลือเพียงหิ่งห้อยน้อยเท่านั้นที่ยังบินอยู่ ตอนนี้เขาอยู่สูงมากแล้วอาจจะพอที่จะร้องเรียกท้องฟ้าได้ แต่แรงที่มีอยู่ก็น้อยเต็มที่ หิ่งห้อยน้อยพูดด้วยเสียงอันเบาว่า “ท้องฟ้าจ๋า ท่านอย่าได้โศกเศร้าอีกเลยนะเราจะเป็นเพื่อนท่าน” ก่อนที่ร่างน้อยๆจะค่อยๆร่วงหล่นลงสู่พื้นดินอย่างช้าๆ…

ทันใดนั้นแสงที่ก้นของหิ่งห้อยน้อยก็แปล่งแสงเจิดจ้าราวดวงอาทิตย์ แสงที่เป็นเหมือนแรงใจเหือกสุดท้ายท้องฟ้าหันมามองที่แสงเจิดจ้านั้น แล้วนำปุยเมฆมาประคองโอบร่างหิ่งห้อยน้อยไว้
“เจ้าบินขึ้นมาบนนี้ได้อย่างไร” ท้องฟ้าถาม
“เพื่อนข้า เหล่าหิ่งห้อยมากมาย ช่วยข้าให้บินขึ้นมาสูงเพียงนี้ เพียงตัวข้าคงไม่อาจขึ้นมาได้” หิ่งห้อยน้อยกล่าวและเล่าเรื่องราวความพยายามของเหล่าหิ่งห้อยให้กับท้องฟ้าฟัง
ท้องฟ้ารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเหล่าหิ่งห้อยเป็นอย่างมาก ในที่สุดเขาก็มีเพื่อน และมีคนสังเกตเห็นคุณค่า แต่ทว่า หิ่งห้อยน้อยนั้นได้ใช้กำลังมากเกินกว่าที่แมลงตัวเล็กๆอย่างเขาจะรับไหว หิ่งห้อยน้อยค่อยๆสิ้นใจลงบนปุยเมฆอันอ่อนนุ่มเขาดีใจที่ในที่สุดเขาก็ทำให้ท้องฟ้าหายโศกเศร้า….

แต่ท้องฟ้ากลับไม่ได้หายจากความโศกเศร้า ความตายได้พรากเพื่อนคนแรกที่ทำให้เขาเข้าใจถึงความหมายของคำว่ามิตรภาพไปเสียแล้ว วันแล้ว วันเล่าที่ท้องฟ้าเอาแต่ร้องไห้คร่ำครวนถึงหิ่งห้อยน้อย จากการร้องไห้ของท้องฟ้าที่ติดต่อกันเป็นเวลานานทำให้ระดับน้ำบนพื้นโลกนั้นสูงขึ้นๆ สรรพสัตว์ในป่าต่างเดือดร้อนไปทั่วจากอุทกภัยครั้งนี้ เดือดร้อนไปถึงเทวดาว่ามันเกิดเหตุอันใดกันขึ้น
“เจ้าร้องไห้ทำไมท้องฟ้า” เทวดาถาม
“ข้าสูญเสียเพื่อนข้าไป”ท้องฟ้าเล่าเรื่องราวต่างๆให้เกี่ยวกับเหล่าหิ่งห้อยและหิ่งห้อยน้อยให้เทวดาฟัง เทวดารู้สึกซาบซึ้งและชื่นชมความมีน้ำใจของเหล่าหิ่งห้อยจึงให้พรแก่หิ่งห้อยน้อยให้ไปเกิดใหม่เป็นดาวฤกษ์ที่ส่องแสงเจิดจ้าทุกค่ำคืนเคียงคู่กับท้องฟ้า และให้เหล่าหิ่งห้อยตัวน้อยทั้งหลายได้เกิดใหม่เป็นดวงดาวเมื่อพวกเขาสิ้นใจ ….ตั้งแต่นั้นมาท้องฟ้าก็ไม่เคยเหงาอีกเพราะมีเหล่าหิ่งห้อยมากมายแปล่งแสงสดใสคล้ายเหงาให้ตราบนานเท่านาน
“ นี้และที่มาของดวงดาวไงละอากาตู”
“ดังนั้นทุกครั้งที่เจ้าเห็นดวงดาวก็อย่าลืมที่จะนึกถึงเหล่าหิ่งห้อยน้อยด้วยนะ”
“วันนี้ดาวสวยจริงๆบางที ดวงดาวอาจจะอยากให้เรารับรู้ก็ได้ว่า เขากับเราก็เป็นเพื่อนกัน เพราะทุกคนล้วนเชื่อมโยงสัมพันธ์กันด้วยเส้นใยบางๆ เจ้าว่าอย่างนั้นไหมละ?”
“…………”อากาตู


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2 ความคิดเห็น

  • #1 Mr WordPress ให้ความคิดเห็นเมื่อ 13 June 2010 เวลา 1:04 am

    Hi, this is a comment.
    To delete a comment, just log in, and view the posts’ comments, there you will have the option to edit or delete them.

  • #2 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 14 June 2010 เวลา 7:57 am

    ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ
    ชอบหิ่งห้อยเหมือนกันนะคะ และคิดว่าทุกชาติ ทุกที่ล้วนมีนิทานหิ่งห้อยของตนเอง ชอบตรงนี้ค่ะ “ทุกคนล้วนเชื่อมโยงด้วยสายใยบาง ๆ ” …ขอให้สนุกกับสายใยบางที่ชักนำให้เข้ามาสมัครในลานฯนะคะ ^ ^


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.07395601272583 sec
Sidebar: 0.019351005554199 sec