กังหันลมสำหรับประเทศไทย..จนป่านนี้ก็ยังงมหอย..เฮ้อ

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 31 January 2011 เวลา 8:12 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2745

เรื่อง พลังงานลม

กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี

 

กระผมรับทราบด้วยความยินดีว่าท่านนายกฯสนใจพลังงานลม แต่ก็วิตกอยู่เล็กน้อยว่าท่านอาจไม่ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะขณะนี้ท่านนายกฯทราบเพียงข้อมูลบางส่วน เช่น มีการผลิตกังหันลมโดยคนไทยในบางแห่ง แต่การผลิตนั้นเป็นเพียงการลอกการออกแบบมาจากต่างประเทศเท่านั้น แล้วเอามาสร้าง ซึ่งการสร้างนั้นไม่ใช่สิ่งที่ยากนัก ใครๆที่พอมีฝีมือช่างก็สร้างกังหันลมได้ แต่การออกแบบและสร้างให้ได้ประสิทธิภาพสูง แข่งกับฝรั่งได้นั้นเป็นสิ่งที่ยากที่สุด  ไม่เช่นนั้นแล้วผลิตออกมาก็ไม่คุ้มทุน ซื้อฝรั่งคุ้มทุนกว่า เอาไปขายใครเขาก็ไม่ซื้ออีกต่างหาก

 

ดังนั้นกลุ่มวิจัยด้านพลังงานลมของกระผม (ซึ่งเป็นหนึ่งในสามกลุ่ม) มีนศ.ปริญญาเอกอยู่ 4 คน  ป.โทอีก 1 คน จึงทำงานวิจัยด้านการออกแบบกังหันลมให้เหมาะกับสภาพลมในประเทศไทยและให้ได้ประสิทธิภาพสูงด้วยมาเป็นเวลากว่า 6 ปีแล้ว บัดนี้เราได้พัฒนาเทคโนโลยีการออกแบบจนสามารถออกแบบได้ดีกว่าการออกแบบของต่างชาติด้วยซ้ำไป  หากรัฐบาลหรือเอกชนใดต้องการเทคโนโลยีด้านนี้เราก็พร้อมที่จะช่วยเหลือ เพื่อที่ประเทศไทยจะได้พึ่งตนเองได้ ไม่ต้องซื้อเทคโนโลยีการออกแบบจากต่างชาติให้สิ้นเปลือง เราเชื่อว่าเราเป็นเพียงแห่งเดียวในประเทศที่มีเทคโนโลยีการออกแบบนี้ และมีผลงานตีพิมพ์ทางวิชาการกว่า 20 ฉบับเป็นเครื่องยืนยัน

 

ที่ผ่านมา 10 กว่าปีกระผมได้ล็อบบี้หนักรอบประเทศว่าประเทศไทยเราไม่ได้มีศักยภาพพลังงานลมต่ำอย่างที่ทุกท่านพากันคิดตามข้อมูลดั้งเดิมที่เรามีอยู่ จนแนวคิดนี้ติดลมบนในที่สุด ทำให้ธุรกิจกังหันลมไทยอาจได้รับการโหมกระพือมากเกินจริงไปเสียด้วยซ้ำ ซึ่งน่ากลัวอันตราย (เช่นไปลงทุนแล้วเจ๊ง ข่าวแพร่อออกไป สร้างความเสียหายได้มากในวงกว้าง) รัฐจึงต้องระวังให้มากในด้านนี้ เพราะอาจกระทบต่อยุทธศาสตร์ชาติ กระผมใคร่ขอเสนอประเด็นสำคัญที่สุดตามลำดับ คือ

 

  • 1) ต้องสำรวจหาช่องลมแรงให้เจอ เช่น ใน usa กว้างใหญ่ไพศาลมีช่องลมเพียง 2-3 ช่องเท่านั้น อย่าลืมว่าลมแรงขึ้นสองเท่าจะได้พลังงานลมเพิ่มมากขึ้น 8 เท่า ผมมีแนวคิดในการหาช่องลมแรงอย่างง่ายและรวดเร็ว เอาไปบอกให้ผู้เกี่ยวข้องหลายท่านทำโดยไม่หวงความรู้ ก็เหมือนว่าเขาไม่ค่อยจะยอมรับรู้ ทำให้ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำกันไปมาก และคงเสียเวลากันอีกนาน
  • 2) ต้องพัฒนาเทคโนโลยีการออกแบบกังหันให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด (ซึ่งขณะนี้กลุ่มของกระผมที่ มทส. ทำได้แล้ว)
  • 3) ต้องพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งขณะนี้ มีมหาลัยบางแห่ง และ บริษัทเอกชนจำนวนหนึ่งก็สามารถทำได้แล้ว แต่ยังพัฒนาเพิ่มได้อีกมาก ซึ่งประเด็นนี้คนจำนวนมาก (รวมทั้งรัฐบาล) คิดว่าคือสาระสำคัญที่สุดของกังหันลม ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดอย่างมาก
  • 4) ต้องมีนโยบาย มาตรการรัฐสนับสนุน

 

สุดท้ายผมวิจัยด้วยตนเอง ขอยืนยันว่าบรรพชนไทยเป็นคนแรกในโลกที่สร้างกังหันลมแบบ lift type ซึ่งใช้หลักการของแรกยกแบบปีกเครื่องบิน ส่วนกังหันของ ducth เป็นแบบ drag type (แรงฉุด) ซึ่งเป็น low tech กว่าแบบ lift type มาก 

 

ไทยเราทำกังหันลมแบบ lift type มาก่อนปี คศ. 1935  แน่นอน ซึ่งเป็นปีที่ชาวอเมริกันจดสิทธิบัตรกังหันลมแบบ lift type เป็นครั้งแรกของโลก ผมได้สะสมปีกกังหันลมโบราณไว้ในพิพิธพันธ์เทคโนโลยีไทยโบราณที่มทส.  ซึ่งมีอุปกรณ์ให้ชมหลายพันชิ้น และนับเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศทางด้านนี้ (ทำมาคนเดียว เงียบๆ หลายปีแล้วครับ และแสนเหนื่อย แต่ก็สนุก)

 

กราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา

 

ทวิช จิตรสมบูรณ์

 

ปล. เขียนถึง ฯพณฯท่าน แต่เมื่อท่านเข้าดำรงตำแหน่งใหม่ๆ


เด็กไทยเจ๋ง…แต่ชาติไทยเจ๊ง

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 31 January 2011 เวลา 7:59 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1958

เด็กไทยเจ๋ง…แต่ชาติไทยเจ๊ง

 

ช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ เราท่านนักอ่านข่าวทั้งหลายคงได้ยินข่าวกันบ่อยๆว่าเด็กมัธยมไทยไปคว้ารางวัลโอลิมปิกส์ทางวิชาการเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะด้านยากๆเช่นฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ชีววิทยา ชนะเมกัน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ …เรียกว่าถ้าจัดอันดับกันแล้วเราคงอยู่อันดับต้นๆของโลกทีเดียว คะเนแล้วไม่น่าเกินอันดับสิบ

 

เด็กเก่งปานนี้ แสดงว่าการศึกษาดี และต้องดีมานานแล้วด้วย เพราะเรื่องแบบนี้มันไม่ได้สร้างกันได้ง่ายๆ ภายในปีสองปี มันต้องมีฐานดีมานานนับยี่สิบปีก่อนหน้านั้นนั่นเทียว

 

แล้วถามว่าฐานการศึกษาดีมานานป่านนั้น แล้วทำไมประเทศถึงแย่ป่านนี้ โดยเฉพาะด้านการศึกษาของชาติโดยภาพรวมซึ่งขณะนี้ตกต่ำที่สุด …ที่เด็กมหาลัยปีหนึ่งส่วนใหญ่ความรู้ (และความคิด) อ่อนมากๆ  อ่อนกว่าที่ผ่านมาจนน่าตกใจ  (หลักฐานจากคะแนนการสอบในภาพรวม และจากปากของคณาจารย์จำนวนมากในมหาลัย)

 

ส่วนด้านอื่นๆ นอกจากด้านการศึกษา ชาติไทยเราก็ตกต่ำมากทุกด้าน ดังที่รู้กันอยู่ดี (แม้แต่ยุทธศาสตร์การต่อสู้ด้านการเมืองระหว่างประเทศยังเป็นรองเขมร)   ยกเว้นเศรษฐกิจที่พอทรงตัวอยู่ได้เพราะการลงทุนของต่างชาติ ที่เราเอาอนาคตชาติไปลดแลกแจกแถมให้พวกเขาเข้ามาถลุงชาติเราเสียย่อยยับ

 

ผมได้สังเกตมานานแล้วว่าการที่เด็กเรา “เก่ง” จนไปได้เหรียญทองมามากมายนี้ ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่า “เด็กบางคน” ของเราเก่งจริง แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเด็กบางคนเหล่านี้ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมชาติ จนอาจทำให้ได้เปรียบเด็กชาติอื่น

 

การปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมชาตินี้ คือ การทุ่มงบประมาณชาติเพื่อคัดเลือกหาเด็กจากทั่วประเทศ ที่ทำข้อสอบได้เก่งที่สุด จากหัวกระทิหลายหมื่นเหลือสุดยอดหัวกระทิสองสามคน (ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ต้องทุ่มทุนสร้างปานนั้นก็ได้ เพราะมันก็กระจุกตัวอยู่สองสามโรงเรียนในกทม. และปริมณฑลนี่แหละ คัดกันกี่ปีก็วนเวียนอยู่แค่นี้)

 

พอคัดสุดยอดหัวกระทิได้แล้ว ก็ยังเอามาเก็บตัวเป็นปี ด้วยโค้ชจากอาจารย์มหาวิทยาลัย  ทุ่มทุนสร้างกันเข้าไปเพื่อหวังได้หน้าในเวทีโลก (ที่แสนฉาบฉวย) …ว่าไปแล้วนี่มันก็วัฒนธรรม “กวดวิชา” ที่เราถนัดอยู่แล้วนั่นเอง

 

[วัฒนธรรมขี้เห่อ ฉาบฉวย อวดรวย นี้ ฝังรากลึกในสันดานคนไทยทุกระดับ เช่น ในระดับมหาลัยก็ชี้วัดความเก่งกันที่ ปริมาณการตีพิมพ์บทความในวารสารวิชาการของเมืองนอก ส่วนบ้านนอกไทยจะยากจนเข็ญใจใส่เสื้อแดงอย่างไรข้าไม่สน  ...ถึงเวลาปฏิวัติวัฒนธรรมเสียทีกระมัง]

 

ส่วนเด็กมัธยมชาติอื่นๆ เช่น สหรัฐ ยุโรป ผมไม่เชื่อว่าเขาใช้วิธีนี้ ผมเชื่อว่าเขาใช้วิธีธรรมชาติปกติ เช่น ในเมกา เขาน่าจะใช้การแข่งขันตอบคำถาม ระหว่างโรงเรียน ซึ่งเขาทำเป็นเครือข่ายที่กว้างขวางเป็นปกติมานานแล้ว ใครตอบได้ดีก็คงมีแมวมองมาคัดเลือกตัวไปเป็นตัวแทนประเทศ 

 

สำหรับประเทศไทยเราการแข่งขันทำนองนี้มีน้อยมาก ควรส่งเสริมให้มาก ทุกระดับ เพราะมันเป็นการกระตุ้นให้แข่งกันเรียน แข่งกันเก่ง ซึ่งดีกว่าไปแข่งกันโกงแบบข้าราชการบางพวก และนักการเมืองบางกลุ่ม  ว่าไปแล้วการอัดฉีดความรู้ให้เด็กแบบที่เราทำนี้ อาจถือได้ว่าเป็นการโกงชนิดหนึ่งทีเดียว

 

สรุปคือ การเก่งของเรามันมีแต้มต่อ อาจเป็นการเอาเปรียบคนอื่น ถึงกับอาจเป็นการโกง และอาจเป็นภาพลวงตาที่กลายเป็นผลร้ายต่อประเทศไทยอย่างคิดไม่ถึง

 

คือมันทำให้เรา “ตายใจ” นั่นเอง …ตายใจว่า การศึกษาเราดีแล้ว ไม่มีปัญหา ไม่ต้องแก้ปัญหาอะไร..เพราะถ้าไม่ดีจริงป่านนี้เราคงไม่ได้เหรียญทองโอลิมปิกส์วิชาการมากปานนี้หรอก

 

ทั้งที่แท้จริงแล้ว การศึกษาไทยมีปัญหามากมหาศาล ไม่ต่างอะไรกับเศรษฐศาสตร์ไทยที่มันมีความ “เหลื่อมล้ำ” มากเหลือเกิน ที่ผมว่ามันคือรากฐานของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจด้วยซ้ำไป ที่เป็นระเบิดเวลาที่จะมาทำลายสังคมไทยในไม่นาน

 

รร.ดังในกทม. และปริมณฑล ได้งบกันมหาศาล  และมีแต่ลูกคนรวยที่ “บริจาคหนัก” เข้าเรียน บางรร.มีงบเฉพาะมีพรบ.เฉพาะรองรับไปโน่น  ซึ่งเท่ากับเป็นการดูดเอางบจากส่วนกลางไปปรนเปรอเฉพาะ “ผู้เด่นโอกาส”  ทำให้ผู้ด้อยโอกาสยิ่งได้งบน้อยกว่าปกติเสียอีก

 

ส่วนผู้ด้อยโอกาสก็เรียนกันไปตามยถากรรมที่ รร. เสื้อแดงวิทยาคม  หรือ รร. ไพร่พิทยา  ในพื้นที่ปลดปล่อย (จากความสนใจของรัฐ) กัดฟันเรียนกันไปเถิดพี่น้องจนกว่า …….

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์  (๒๔ สค.  ๕๓)


ประชาธิปไตย+ทุนนิยม = หายนะ

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 31 January 2011 เวลา 7:47 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1790

ประชาธิปไตย+ทุนนิยม = หายนะ

 

บทความนี้จะเสนอข้อมูลและเหตุผลให้ผู้อ่านเห็นว่าหายนะกำลังรอโลกและประเทศไทยอยู่ เป็นผลมาจากการที่ประเทศทั้งหลายในโลกต่างใช้ระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ซึ่งไทยเราเองก็ใช้ระบบทั้งสองนี้ตามเขาด้วย ซึ่งไม่น่าแปลกอะไร เพราะไทยเราไม่เคย และไม่กล้าคิด (อย่าว่าแต่ทำ) อะไรที่มันแหกโลกบ้างเลย ได้แต่เดินตามโลก (ฝรั่ง) อย่างเซื่องๆ มานานแล้ว นำขบวนโดยนักวิชาการใส่เสื้อนอกแห่งมหาวิทยาลัยทั้งหลายนั่นแล

 

ผมได้เอะใจคิดถึงแนวโน้มความหายนะโลกแต่เมื่อประมาณพศ. ๒๕๓๕ แต่เพิ่งจะมาได้ข้อมูลสนับสนุนแนวคิดนี้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๕  จากการที่ผมได้สำรวจข้อมูลงบประมาณของชาติทั้งหลายในโลก พบว่าส่วนใหญ่ตั้งงบประมาณแบบขาดดุล (รายจ่ายมากกว่ารายได้) แม้แต่ usa ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน บราซิล  ยกเว้นชาติเล็กๆในแถบแสกนดิเนเวีย (ชาติพวกไวกิ้งเดิมนี้มักมีนโยบายอะไรดีๆที่คล้ายกันเสมอ)

 

การที่ชาติทั้งหลายตั้งงบขาดดุลนั้นผมเชื่อว่าเป็นเพราะการ “สัญญาว่าจะให้” ของนักการเมืองในช่วงหาเสียงเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งต้องใช้เงินทั้งสิ้น เมื่องบประมาณไม่พอ ก็เลยต้องไปกู้เงินมาทำโครงการตามสัญญาเหล่านั้น โดยมักจะยกยอดหนี้ไปให้รัฐบาลชุดต่อไปชำระ ซึ่งรัฐบาลชุดต่อไปก็ต้องสัญญาว่าจะให้เพื่อหาเสียงด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ได้รับเลือก  จึงต้องไปกู้หนี้เข้ามาสะสมมากขึ้นทุกที เป็นงูกินหางกันไปแบบนี้ในทุกประเทศทั่วโลกที่ใช้ระบบทั้งสองนี้ควบคู่กัน   ส่วน จีน เวียตนาม นี้เลวยิ่งกว่า เพราะจะตั้งงบอย่างไรก็ได้ ไม่มีฝ่ายค้านมาคอยท้วง

 

ถ้าแนวโน้มยังคงเป็นเช่นที่กล่าวมานี้ ผนวกกับหนี้สะสมในภาคธุรกิจ(ทุนนิยม)ที่ก็มากขึ้นทุกที สักวันหนึ่งเงินกู้ทั้งหลายที่สั่งสมกันทั่วโลกมันจะมีน้ำหนักมาก จนไม่สามารถถูกแบกรับไว้ได้ด้วยโครงสร้างทางเศรษฐกิจของโลกโดยรวม และวันนั้นจะคือวันโลกาวินาศทางเศรษฐกิจทั่วโลก  

 

เรื่องนี้นักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลก (อย่าว่าแต่ของไทยที่ตามโลก) ยังไม่ตระหนักในมหันตภัยนี้ เพราะกำแพงล้อมความคิดแบบเดิมมันยังสูงและแกร่งเอาการอยู่

 

ที่ล้มกันมาด้วยอุบัติการณ์ต้มยำกุ้งและแฮมเบอร์เกอร์นั้นมันเป็นการล้มเฉพาะจุดๆ ในช่วงเวลาที่ต่างกัน แม้จะส่งแรงกระแทกจนสั่นเทากันไปทั่วโลก แต่โครงสร้างเศรษฐกิจโลกโดยรวมก็ยังช่วยยึดโยงกันไว้ จนพอฟื้นคืนตัวได้ในเวลาต่อมา แต่การล้มแบบที่กำลังกล่าวถึงนี้มันจะล้มครืนทั้งระบบ มันจะไม่เหลืออะไรไว้ให้ยึดโยงเลย

 

จะมียกเว้นบ้างก็เช่น ลาว พม่า ภูฐาน และอีกบางประเทศที่ยังไม่เป็นทุนนิยมสุดโต่ง สำหรับประเทศไทยเรา จะวอดวายหนักที่สุดเพราะการเมืองก็เป็นธนาธิปไตย การเศรษฐกิจพึ่งนายทุนต่างชาติ และราชการก็เป็นระบบอุปถัมภ์ โครงสร้างของเราเปราะบางที่สุดในโลกแถมยังไม่มีหยุ่นกันกระแทกเพราะโครงสร้างเกษตรกรรมก็ผุกร่อนมากแล้วเนื่องจากโดนทุนนิยมต่างชาติ และในชาติ มาหลอกให้ใช้ปุ๋ยเคมีและยาเคมีกำจัดศัตรูพืชกันเสียหมดประเทศ

 

สัญญาณเตือนภัยที่ที่เพิ่งเกิดเมื่อปี ๒๕๕๒ หยกๆนี้คือปัญหาการเงินของประเทศกรีซ ซึ่งเป็นปัญหาแบบที่ผมได้คะเนไว้แต่เมื่อปี ๒๕๓๕ กล่าวคือประเทศก่อหนี้สาธารณะมากเกินพิกัด จนส่งผลกระทบไปทั่วโลก ยังมีเสปน ปอร์ตุเกส อิตาลี และว่าไปแล้วเกือบทุกประเทศในโลก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่จะตามมาเร็วนี้ โปรดอดใจรอสักอึด ไม่น่าเกิน 10 ปี จากนี้ไป

 

ทุนนิยมกับประชาธิปไตยมีความเหมือนกันอยู่ประการหนึ่งคือ ต่างดำรงอยู่ได้ด้วยความโลภ โดยในระบบประชาธิปไตยนั้นพรรคการเมืองต้องสนองความโลภของประชาชนด้วยโครงการล่อใจต่างๆ (ในนามของความกินดีอยู่ดี) ส่วนระบบทุนนิยมนั้นก็สนองความโลภของนายทุนด้วยการลงทุนใหม่ๆ (ในนามของการสร้างงาน ก็การกินดีอยู่ดีนั่นเอง)

 

ดังนั้นประชาธิปไตย กับ ทุนนิยม เมื่อนำผสมกันแล้วก็ยิ่งมาเสริมความโลภซึ่งกันและกัน (ไม่ได้คานอำนาจกัน) ความโลภที่ไร้การคานอำนาจนี้จะเป็นแรงแห่งความชั่วร้ายที่ขับเคลื่อนสังคมโลกไปสู่ความหายนะอย่างรวดเร็วที่สุด

 

ที่น่าสนเท่ห์คือ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ที่คิดค้นแนวทางการนำโลกสู่หายนะได้เร็วขึ้น ต่างได้รับรางวัลโนเบลกันระนาวกราวรูด ได้รับเสียงปรบมือก้องโลกเสมอมา …โดยที่นักเศรษฐศาสตร์ไทยส่วนใหญ่ก็อ้าปากหวอ ชื่นชมกันใหญ่

 

คิดดูสิท่าน..เคยมีพรรคการเมืองไหนในโลกที่ใช้ระบบทุนนิยมผสมปชต. แล้วหาเสียงว่าจะทำประเทศให้มีรายได้ประชาชาติน้อยลง มีแต่จะทำให้มากขึ้นด้วยกันทั้งนั้น ถามว่าถ้าทุกประเทศในโลกรวยกันหมด รวยเท่าญี่ปุ่น อเมริกา ยุโรป อะไรจะเกิดขึ้น?

 

ไม่ต้องทุกประเทศก็ได้ ขอแค่จีนกับอินเดียสองประเทศก็เพียงพอแล้วที่จะถล่มโลกให้ดับสิ้น และก็ไม่ใช่ความผิดของสองประเทศนี้ที่จะอยากรวยเหมือนพวกฝรั่ง ญี่ปุ่น เพราะมันกลายเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกประเทศไปแล้ว แม้แต่องค์การสหประชาชาติก็ยังทำทุกอย่างเพื่อส่งเสริมความกินดีอยู่ดีของประเทศยากจน โดยมีวาระซ่อนเร้นว่าประเทศนายทุนใหญ่ที่บริจาคงบประมาณให้ยูเอ็นจะขายสินค้าได้มากขึ้นจากการกินดีอยู่ดีนั้น

 

ปชต. มีมานานแต่ยุคกรีกโบราณ แต่ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก จนกระทั่งมาถึงยุคทุนนิยมที่บีบคั้นให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อประมาณ 200 ปีก่อน สิ่งที่ควรสังเกตคือ 200 ปีที่ผ่านมาระบบผสมนี้ช่วยทำลายโลกมากกว่าแสนปีที่ผ่านมาเสียอีก ถ้าปล่อยให้มันดำรงอยู่ต่อไปอีก 200 ปี แล้วโลกนี้จะเหลือหรือ  

 

ประวัติศาสตร์โลกในช่วง 100 ปีที่ผ่านมานั้น มีระบบการปกครองทางเลือกสองรูปแบบเท่านั้นคือ ปชต. กับ เผด็จการ (อาจเป็นเผด็จการโดยบุคคล คณะบุคคล หรือ พรรคการเมืองพรรคเดียว)  ส่วนระบบเศรษฐกิจก็มีสองคือ ทุนนิยมและคอมมิวนิสต์  ส่วนสังคมนิยมในแสกนดิเนเวียนั้นไม่ต่างจากทุนนิยมในเชิงหลักการเพียงแต่เก็บภาษีจากนายทุนค่อนข้างมากเพื่อเอาเงินมาเป็นสวัสดิการให้ประชาชนเท่านั้นเอง

 

สองกับสองเมื่อผสมกันก็จะได้สี่รูปแบบ ที่ผ่านมามนุษยโลกได้ทดลองผสมกันไปแล้ว 3 แบบ (แบบที่สามคือเผด็จการคอมมิวนิสต์ผสมทุนนิยม เช่น จีน เวียตนาม น่าจะเลวร้ายที่สุด) ส่วนแบบที่ 4 ยังไม่มีการทดลองที่ไหน คือ การเมืองเป็น ปชต. ส่วนเศรษฐกิจเป็นแบบคอมมิวนิสต์ ซึ่งอาจเป็นทางรอดของโลกในอนาคตก็เป็นได้

 

ณ จุดนี้ ขอเสนอระบบพันธุ์ทาง (ทางเลือกที่ห้า) คือ การเมืองเป็นปชต. ส่วนเศรษฐกิจเป็นทุนนิยมยั่งยืนก็ได้ (sustainable capitalism) หรืออาจเรียกว่าคอมมิวนิสต์ก้าวหน้าก็ดี (progressive communism) โดยมีลักษณะเด่นคือ

 

  • 1. เน้นอุตสาหกรรมขนาดเล็ก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการเกษตร ที่กระจายอยู่ทั่วทุกตำบลในประเทศ โดยอุตสาหกรรมเหล่านี้ใช้แรงงานในพื้นที่ และทรัพยากรในพื้นที่ (อย่างน้อย 80%) ดังนั้นจึงเป็นธุรกิจที่ยั่งยืน เพราะไม่สามารถรุกล้ำเข้าไปทำลายล้างทรัพยากรในท้องถิ่นอื่นได้ เหมือนดังที่บริษัทข้ามชาติกำลังทำกันอย่างเมามันทั่วโลก ซึ่งส่งผลต่อระบบนิเวศอย่างรวดเร็ว
  • 2. ทุนที่ใช้ในการทำอุตสาหกรรมในข้อ 1 ให้เป็นการระดมทุนในท้องถิ่น โดยสามารถใช้แรงงานเทียบเท่าทุนได้ ระบบนี้จึงเปรียบดังคอมมูนผมสทุนนิยมที่ปชช.และนายทุนในท้องถิ่นร่วมกันเป็นเจ้าของโรงงาน
  • 3. กิจการสาธารณูปโภคและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เกินระดับหนึ่ง (เช่นคนงานเกิน 1000 คน) ให้เป็นกิจการของรัฐ
  • 4. กำหนดในรธน.ว่างบประมาณชาติในแต่ละปีต้องไม่ขาดดุล (ห้ามกู้)

 

จะเห็นได้ว่าระบบเศรษฐกิจนี้เป็นลูกผสมระหว่างทุนนิยมและคอมมิวนิสต์ ซึ่งจะทำให้มีการคานอำนาจกันในทางเศรษฐกิจ นายทุนยังมีอยู่ได้แต่ต้องไปร่วมทุนกับชุมชนในท้องถิ่นเท่านั้น โดยโรงงานเหล่านี้จะมีลักษณะคล้ายคอมมูน (คือเป็นโรงงานชุมชน)

 

ความโลภจะถูกจำกัดขอบเขตไม่ให้ลุกลามออกไปเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่ล้างผลาญทรัพยากรได้มาก  ส่วนสัญญาว่าจะให้จากนักการเมืองก็ถูกจำกัดเนื่องเพราะห้ามทำงบขาดดุล ดังนั้นจะบังคับโดยปริยายให้พรรคการเมืองต้องหาเสียงแข่งกันว่าใครจะบริหารงบประมาณ “เท่าที่มีอยู่” ได้มีประสิทธิผลมากกว่ากัน แทนการสร้างโครงการประชานิยมต่างๆ

 

ประเทศไทยเราควรเลิกตื่นตูมทุนนิยมโล”ภา”ภิวัฒน์ตามที่ถูกหลอกให้โง่มานานได้แล้ว หันมาสร้างระบบเศรษฐกิจการเมืองแบบยั่งยืนตามที่เราคิดกันเองเพื่อเป็นตัวอย่างแก่โลกนี้จะดีกว่า (ไม่จำเป็นต้องเอาตามที่เสนอในบทความนี้ก็ได้)

 

H.G. Wells นักประพันธ์ชื่อดังชาวอังกฤษผู้ล่วงลับเคยกล่าวอย่างเหยียดหยามว่า “คนไทยไม่เคยให้อะไรกับโลกนี้เลย” คราวนี้น่าจะลองลบคำสบประมาทนี้ดูสักที ด้วยการคิดค้นระบบใหม่ ถ้าทำได้สำเร็จจะเป็นบุญอีกด้วยที่ช่วยโลกให้รอดหายนะ

 

ท่านพุทธทาสภิกขุได้ประกาศลัทธิ “ธรรมิกสังคมนิยม” มานานแล้ว ส่วนคุณจำลอง ศรีเมืองแห่งสันติอโศก ก็ได้ประกาศลัทธิ “บุญนิยม” แต่นักวิชาการไทยที่ผูกไทใส่เสื้อนอกยังล้าหลัง ยังตามไม่ทัน ยังจะเดินตามก้นฝรั่งเพื่อให้ฝรั่ง “พาไปตาย” ต่อไป

 

เป็นบทพิสูจน์ว่าความรู้ที่ไม่คู่ปัญญานั้นมันอันตรายเสียยิ่งกว่าไม่รู้อะไรเลยเสียอีก

 

 

………ทวิช จิตรสมบูรณ์  ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๓

 

 

 

 

 


ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (ตอนที่ ๔)

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 31 January 2011 เวลา 6:16 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1704

ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (ตอนที่ ๔)

 

การเมืองถือเป็นต้นธารแห่งกระแสการพัฒนาประเทศ จึงถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการที่จะนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญ

 

ผมเห็นว่าฝรั่งเขามีระบบการเมืองที่สอดคล้องกับลักษณะนิสัยของคนในชาติ คือระบอบประชาธิปไตยแบบของเขา ส่วนไทยเรามีระบบการเมืองที่ไม่สอดคล้องกับลักษณะของสังคมไทย เพราะไปลอกฝรั่งมาทั้งดุ้น มันก็เลยมีต้นธารที่ไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่ความเจริญได้

 

ว่าไปแล้วญี่ปุ่น เกาหลีก็ลอกฝรั่งมาเหมือนกัน ทั้งที่ลักษณะสังคมญี่ปุ่นเกาหลีก็เป็นสังคมแนวดิ่ง (มีชนชั้น เล่นพวก) ไม่ต่างจากไทย แต่ทำไมเขาเจริญล่ะ คำตอบคือเขามีวินัยเป็นปัจจัยแย้ง ก็ทำให้เจริญได้ ถ้าเขามีระบบการเมืองที่สอดคล้องกว่านี้จะยิ่งเจริญกว่านี้เสียอีก  ส่วนไทยเราไม่มีปัจจัยวินัย ก็เลยได้แค่นี้

 

ประชาธิปไตยแบบตะวันตก (ปชต.ตต.) นั้น เวลาเขาโหวตกันในรัฐสภาโดยเฉลี่ยแล้ว สส. พรรคฝ่ายค้านจะโหวตให้ญัตติของรัฐบาลประมาณ 25% นั่นเทียว (และในทางตรงข้ามก็เช่นกัน) หลักฐานมีให้เห็นว่าเมื่อตอนนาย จอห์น แมคเคน ลงสมัครรับเลือกเป็น ปธด.สหรัฐแข่งกับนายโอบามา นั้น นายโอบามา ได้หาเสียงโจมตีว่านายแมคเคนไม่ใช่นักปชต. เพราะประวัติการโหวตอันยาวนานของนายแมคเคนนั้นระบุว่ายกมือโหวตให้พรรคตรงข้าม (คือเดโมแครต) เพียง 10% ของการโหวตทั้งหมดเท่านั้น

 

โห..ตั้ง ” 10% ”  เขาก็หาว่าแย่แล้ว …แล้วหันมาดูนักการเมืองไทยสิ ยกมือให้พรรคตรงข้ามเท่าไร คำตอบคือ “0%” ครับ แล้วแบบนี้มันจะเป็นปชต. ได้อย่างไร อย่างนี้มัน พรรคาธิปไตย ชัดๆ

 

สรุปคือฝรั่งโหวตตามสำนึกแห่งความถูกต้องของปัจเจก ส่วนเราโหวตตามหัวหน้าสั่ง ผมได้เขียนบทความมานับร้อยในบริบทที่ต่างกันว่า ระบบปชต.ตต.นี้ใช้กับประเทศไทยไม่ได้ดีหรอก ขืนใช้ต่อไปก็จะยิ่งทำให้ประเทศตกต่ำไปเรื่อยๆ ไม่มีทางพัฒนาให้เจริญทันฝรั่งได้

 

ที่ระบบนี้มันเหมาะกับตะวันตกเพราะมันเป็นการวิวัฒนาการมาตามขั้นตอน มีการปรับย่อยๆมาเรื่อยๆ ตามการบีบคั้นของลักษณะนิสัยและบริบทประจำชาตินั้น ดังจะเห็นว่าปชต. ตะวันตกในแต่ละประเทศไม่เหมือนกันเลย ส่วนของเราไปลอกอังกฤษมา ตอนหลังก็ไปลอกเยอรมันมาผสมบ้าง โดยไม่เคยมองบริบทของตัวเองเลยว่า..

 

ว่า..นิสัยคนไทยไม่ได้เป็นปัจเจกชนแบบฝรั่ง (ที่ทำให้เขาโหวตกันตามจิตสำนึกของปัจเจก ไม่ต้องฟังเสียงหัวหน้าพรรคมากนัก)  ส่วนของเราโหวตตามหน.พรรค ถ้าหน.พรรคเป็นคนดีก็ดีไป แต่ถ้าเป็นคนเลวล่ะ (และส่วนใหญ่ก็เป็นคน…ซะด้วยสิ)

 

ดังนั้นถ้าจะให้ต้นธาร ของเราดี ผมว่าคนไทยเราต้องผนึกกำลังกันมาปรับใหญ่ระบบการเมืองไทยให้ได้ ให้มันเข้ากับนิสัยอำนาจนิยม หรือ กลุ่มนิยม ของเรา ไม่เช่นนั้นก็ต้องปรับนิสัยคนไทยให้เป็นปัจเจกนิยมแบบฝรั่ง ซึ่งผมว่ามันยาก มันต้องใช้เวลานานมาก แล้วก็ไม่รู้ว่าลึกๆ แล้ว ไอ้ปัจเจกที่ว่านี้มันดีไหม แต่ถ้าดีจริงก็คงต้องใช้เวลานับพันปีกว่าจะปรับได้ ซึ่งสังคมไทยคงล่มสลายจากระบบการเมืองปัจจุบันนี้เสียก่อนเป็นแน่

ในบทความอันหลากหลายในอดีต ผมได้เสนอระบบทางเลือกไว้นับสิบ วันนี้จะลองเสนอสักหนึ่งคือ ให้สส.ที่มาจากการเลือกตั้งมีอำนาจหน้าที่ในการบัญญัติกฎหมายเท่านั้น แต่อำนาจาบริหาร (คือคณะรัฐมนตรี) นั้นให้มาจากการคัดสรรมาจากสภาปัญญาแห่งชาติ  ซึ่งสภานี้มีสมาชิกประมาณ 500 คน ที่คัดสรรมาจากประชาชนทั้งประเทศ ที่ได้รับการเสนอชื่อตามที่กำหนด แล้วมีคณะกรรมการกลางทำหน้าที่เลือก คกก.กลางนี้อาจให้เป็นราชบัณฑิตก็ได้

 

ถ้าสร้างระบบคัดสรรให้ดีสภาปัญญานี้จะเป็นที่รวมของบุคคลที่มีความรู้ มีความเก่ง มีความดี 500 คนแรกของประเทศไทย ในทุกสาขาวิชาชีพ แล้วเราก็มีกลไกอีกต่อมาคัดสรรเอาประมาณ 35 คนไปเป็น ครม. ซึ่งเลือกคนหนึ่งเป็นนายก ครม.  ส่วน 465 ท่านที่เหลือก็ให้เป็น สว. คอยกลั่นกรองกฎหมายที่มาจาก สส.

 

ถ้าทำแบบนี้เราก็จะได้กฎหมายที่สะท้อนความต้องการของประชาชนโดยรวม  ที่ยังมีการกลั่นกรองจากสว. ที่ไร้ผลประโยชน์ตนและพวก  และได้นักบริหารที่มีความรู้สูงสุด เก่งที่สุด ดีที่สุด เข้าไปวางนโยบายและทำการบริหารประเทศ มีการถ่วงดุลที่ดี

 

เป็นต้นธารการเมืองที่ปราศจากอิทธิพลของกลุ่มผลประโยชน์ และยังเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ตามแบบของเรา (ที่ไม่ต้องลอกฝรั่งทั้งดุ้น)  เพราะสมาชิก 500 ท่านนี้ เท่ากับว่าได้รับเลือกมาจากประชาชนนั่นเอง แต่เลือกด้วยใจไม่ใช่เลือกด้วยเงิน และยังมีการตรวจสอบในขั้นสองด้วยว่า เก่งจริง ดีจริงนะ ไม่ใช่ว่ามีเงินก็ซื้อตำแหน่งเข้ามาได้กันโครมๆ

 

ส่วนสส. นั้นเลือกโดยตรงจาก ปชช. แต่พอกำหนดว่าเป็นผู้บริหารไม่ได้ ก็จะค่อยๆขจัดนักธุรกิจการเมืองให้หมดไป เราก็จะได้สส.ดีๆ มีความรู้มากขึ้น ก็ยิ่งเสริมการเมืองให้ดีขึ้นไปอีก

 

ถ้าปรับระบบให้ สส. ดี สว. ดี ครม.ดี แล้วประเทศไทยจะไม่ดีหรือครับ…แต่ก่อนอื่นต้องเลิกบูชาปชต.ตต.เสียทีว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

 

..ทวิช จิตรสมบูรณ์  (๒๖ กย. ๕๓)


คนไทยมาจากไหนกันแน่..ทฤษฏีกลางเก่ากลางใหม่

5 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 31 January 2011 เวลา 4:54 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 4261

คนไทยมาจากไหนกันแน่..ทฤษฏีกลางเก่ากลางใหม่

 

หลากหลายทฤษฎีที่เสนอมาแต่โบราณ ว่าไทยมาจากไหน ส่วนใหญ่ฝรั่งเป็นคนกำหนด ผมได้เสนอทฤษฎีใหม่ไว้นานแล้ว แต่ประมาณ พศ. ๒๕๓๕ ว่า คนไทยไม่ได้มาจากไหน แต่อยู่ตรงนี้มาแต่เริ่มแรก (เสนอไว้เป็นภาษาอังกฤษในกลุ่มสนทนาอินเตอร์เน็ตยุคโบราณ ที่เรียกว่า soc.culture.thai ที่ท่าน admin ลานปัญญาคงพอจำได้กระมัง)

 

ผมไม่ทราบว่าทฤษฎีที่ผมเสนอไว้นั้นมันก่อนหรือหลังทฤษฎีเดียวกันนี้ที่เสนอโดยท่าน สุจิตต์ วงษ์เทศ ที่กำลังเป็นที่เชื่อถือกันมากในวันนี้   (แต่แม้หลังผมก็ไม่ได้ลอกท่านมาหรอกนะ)

 

จากการที่ผมบ้าบิ่นเสนอทฤษฎีใหม่อีกอันว่า พระเจ้าอู่ทองมาจากนครวัดนั้น ทำให้ความคิดผมตกผลึกอีกระดับ ผมจึงเชื่อบัดนี้ว่า ประเทศไทยเราวันนี้เกิดจากการรวมเผ่าพันธุ์หลักเข้าด้วยกันสองเผ่าใหญ่ คือ  1) เผ่าคนกินข้าวเหนียวทางเหนือและอีสาน (พวกพูดภาษาไต)   2) เผ่าคนกินข้าวจ้าวทางตะวันออก กลาง และทางใต้ (ขอม-ทวาราวดี-ศรีวิชัย)  โดยมีเผ่าพันธุ์ย่อยๆ อีกหลากหลาย เช่น มอญ  และโดยเฉพาะการอพยพเข้ามาของชาวจีนในช่วงท้าย

 

 

ส่วนทฤษฎีที่ว่าคนไทยมาจากชวาเพราะมีกลุ่มเลือดใกล้เคียงกันนั้น ความจริงอาจเป็นตรงข้าม คือ คนชวาน่าไปจากศรีวิชัย โดยมีนักประวัติศาสตร์บางท่านมีหลักฐานว่า ปราสาทบรมพุทโธ ในชวานั้นสร้างโดยกษัตริย์ที่ไปจาก ตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช)  ซึ่งน่าเชื่อได้ทีเดียว (อย่าลืมนิสัยคนไทยเราด้วยว่า ถ้าไปเหมือนใครเข้า เป็นเหมาว่าเราลอกเขามา หรือมาจากเขาทั้งสิ้น ไอ้ที่จะคิดว่าไปจากเรา หรือลอกเราไปนั้น ยากส์)

 

คำว่า “ขอม” นั้นผมเชื่อว่าเป็นคำที่คนไตเหนือ เรียก คนทางใต้  ส่วนชาวเขมรนั้นเรียกขอมว่า สเยียม (หรือเสียม)

 

ถ้าให้เสนอชื่อประเทศไทยเสียใหม่ผมจะเสนอคำว่า   “ขอมไต”  โดยขอมนั้นหมายถึงทวาราวดีกับศรีวิชัย  …อย่าคิดว่าชื่อนั้นไม่สำคัญนะครับ ชื่อดีๆ มันทำให้เกิดพลังในการสร้างชาติได้มากทีเดียว โดยเฉพาะคนไทยเรานั้นชอบเรื่องมนต์ดำอยู่แล้วด้วย

 

วัฒนธรรมขอมนั้นรุ่งเรือง และลามไปหมด จากนครศรีฯยันลำพูน ไปถึง อุดรธานี โดยไปมีติ่งสำคัญอยู่ที่นครวัด  คำว่าขอม เป็นคำที่ดูศักดิ์สิทธิ์และมีเสน่ห์ ส่วนไตนั้นก็เป็นทั้งเผ่าพันธุ์และภาษาที่มากลืนภาษาขอมเสียหมดสิ้น ซึ่งเรื่องนี้น่าศึกษาต่อไปว่าเกิดจากอะไร

 

อาจเป็นเพราะภาษาขอมก็มีส่วนละม้ายภาษาไตอยู่แล้ว เช่น  ปราสาทที่นครวัด นครธมนั้น ก็เป็นภาษาไตเสียมาก เช่น นคร”วัด”  ส่วน ธม น่าจะเป็นบาลีของคำว่าธรรม  ปราสาทนาคพัน  ปราสาทตาแก้ว ปราสาทตาพรหม พระรูป สระสรง

 

แม้แต่ปราสาท “บายน” ก็อาจเป็นอิทธิพลภาษาไต เพราะ บา แปลว่า อาจารย์ใหญ่ ยน แปลว่ามอง (ยล) บายน ก็อาจารย์ใหญ่ (พระพุทธเจ้า) กำลังมอง ดังนั้นปราสาทนี้จึงมีดวงตาของพพจ.เพ่งมองอยู่เต็มไปหมด หลายร้อยดวง  … นี่ก็ยิ่งเสริมทฤษฎีผมว่า คนสยามสร้างนครวัด เพราะชื่อปราสาทส่วนใหญ่มีสำเนียงออกมาทางสยาม  ชื่อที่เป็นสำเนียงเขมรแท้ๆมีน้อยมาก นอกเหนือจากสำเนียงสยามแล้วก็จะเป็นสันสกฤตไปเลย เช่น พิมานอากาศ  ซึ่งแม้นนี้ก็มีสำเนียงสยาม ที่มันผัน วิ ของ สันสกฤตเป็น พิ ไปหมด เช่น วิษณุ ยังเป็น พิษณุ วิจิตรเป็น พิจิตรเป็นต้น  ดังนั้น วิมารา ก็เป็นพิมาน ของเขามีสระอายาวๆ ก็ตัดให้สั้นลง เช่น อากาศา ก็เป็น อากาศ นี่มันวัฒนธรรม “แบบไตๆ ” แต้ๆ เลยนะ ที่ชอบทำอะไรง่ายๆเข้าว่า

 

ง่ายจนกลายเป็นชุ่ยไปได้ บ่อยๆ เช่น การเมืองไทยเราวันนี้ ไงล่ะ อิอิ (วกมาแขวะจนได้)

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๓๑ มค ๒๕๕๔)

 

 

 

 


พม่าโบราณเรียกประเทศไทยว่า “กัมโพชา” ?

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 31 January 2011 เวลา 3:37 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2911

พม่าโบราณเรียกประเทศไทยว่า  ”กัมโพชา” ?

 

สมัยพระเจ้าบุเรงนองแห่งพม่า เมื่อยึดกรุงศรีอยุธยาแล้ว ได้สร้างราชวังที่หงสาวดี แล้วตั้งชื่อวังนี้ว่า “กัมโพชาธานี” ( วังเดิมสิ้นไปแล้ว เหลือแต่ตอ แต่รัฐบาลพม่าให้สร้างขึ้นใหม่ ..เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของพวกตน คงใส่ไข่พอควรแหละ)

 

เป็นชื่อที่แปลกประหลาดมาก ซึ่งผมขอเสนอทฤษฎีว่า เมื่อรบชนะอยุธยา (โยเดีย..ตามสำเนียงพม่า) แล้วคงได้กวาดต้อนผู้คนไปมาก  แล้วเอาแรงงานไปสร้างวังนี้  (ค้นไปค้นมาเร็วๆในป่าอีนเตอร์เน็ทก็ได้ความว่าวังนี้สร้างด้วยแรงงานเชลยศึก) 

 

การตั้งชื่อวังว่า “เมืองของชาวกัมโพชา” ก็เพื่อให้เป็นอนุสาวรีย์ให้ตนเอง เป็นหลักฐานว่ารบชนะพวกกัมโพชา  และการสร้างก็สร้างด้วยแรงงานของพวกกัมโพชา ชื่อนี้จึงเป็นการข่มนาม เสียดสี เย้ยหยัน ประกาศศักดาไปพร้อมกัน

 

ซึ่งแคว้นกัมโพชานี้ก็น่าจะหมายถึง ประเทศทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ที่มีกรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองหลวงนั่นเอง  การเอาอยุธยาเป็นเมืองขึ้นได้ถือว่าเป็นความภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบุเรงนอง เพราะอยุธยาช่วงนั้นมีประชากรเหยียบ 1 ล้านคน เป็นทองไปทั้งเมือง  เลื่องลือไปจนถึงยุโรปประเทศ

 

 

ดังนั้นนอกจากพงศาวดารล้านนาในชินกาลมาลีปกรณ์ แล้ว พวกพม่าก็เรียก แคว้นนี้ว่า กัมโพชา ด้วยเหมือนกัน ซึ่งคำเรียกน่าจะเป็นคำที่ตกทอดมาแต่กาลสมัยที่พระเจ้าอู่ทองทรงอพยพออกมาจากนครวัดนั่นแลฯ าแล้วมาสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี

 

พวกแว่นแคว้นโดยรอบ คือ ล้านนา และ พม่า เมื่อทราบความดังกล่าว ต่างยอมรับว่า ศรีอยุธยา (พม่าเรียกโยเดีย ล้านนาเรียก อโยชชปุระ)  เป็น”เมืองหลวงใหม่”ของแคว้นกัมพูชา การตีได้โยเดีย ก็คือได้ กัมพูชาด้วยโดยปริยาย

 

จึงให้แรงงานเชลยศึกจากกัมพูชาสร้างวังไว้ให้เป็นที่ระลึก เรียกว่าได้สองต่อเลย คือ ได้วังฟรี และยังได้ใจอีกด้วย

 

..ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๓๑ มค ๒๕๕๔)


พงศาวดารล้านนายืนยันว่าพระเจ้าอู่ทองมาจากกัมพูชา

5 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 31 January 2011 เวลา 1:05 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3140

พงศาวดารล้านนายืนยันว่าพระเจ้าอู่ทองมาจากกัมพูชา

 

หนังสือ “ชินกาลมาลีปกรณ์”  เป็นพงศาวดารล้านนาที่ได้รับการเชื่อถือมากเล่มหนึ่ง  ได้กล่าวถึงพระเจ้าอู่ทอง ดังนี้

 

 “…ครั้งหนึ่ง เมืองชัยนาทเกิดทุพภิกภัย พระเจ้ารามาธิบดีกษัตริย์อโยชชปุระเสด็จมาจากแคว้นกัมโพช ทรงยึดเมืองชัยนาทนั้นได้ โดยทำทีว่าเอาข้าวมาขายครั้นยึดได้แล้วทรงตั้งอำมาตย์ของพระองค์ชื่อว่าวัตติเดช ซึ่งครองเมืองสุวรรณภูมิให้มาครองชัยนาท… เมื่อพระเจ้ารามาธิบดีผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นกัมโพชและอโยชชปุระสวรรคตแล้ว วัตติเดชอำมาตย์มาจากเมืองสุวรรณภูมิยึดแคว้นกัมโพชได้…”

 

พระเจ้ารามาธิบดี ก็คือพระเจ้าอู่ทอง ส่วน พระวัตติเดช นั้นเชื่อกันว่าคือขุนหลวงพะงั่ว (พระบรมราชาธิราช ๑)  เรื่องยกทัพไปตีชัยนาทนี้ตรงกันกับพงศาวดารกรุงศรีฯ   ..สุวรรณภูมิ นั้นนักวิชาการส่วนใหญ่สรุปว่าคือ สุพรรณบุรี

 

นักวิชาการประวัติศาสตร์ไทยส่วนใหญ่ตีความกันว่า  กัมโพช เป็นชื่ออีกชื่อหนึ่งของ ลพบุรี  แต่ผมขอแย้งว่าไม่ใช่ โดยผมเห็นว่ากัมโพช หมายถึงอาณาจักรกัมพูชาโบราณเสียมากกว่า (ซึ่งไม่ใช่เขมรในวันนี้หรอกนะ) 

 

ผมเห็นว่า..มันไม่มีน้ำหนักอะไรเลยที่ลพบุรี..ซึ่งมีตัวตนเป็นที่รู้จ้กไปทั่วว่า ลวปุระ (และ ละโว้ด้วย) มานนาน 500 ปี..จู่ๆจะไปใช้ชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า  ”กัมโพช”  ซึ่งเป็นชื่อที่ นครวัด ก็ได้ใช้มาจนเป็นที่รู้จักกันทั่วมานานกว่าสามร้อยปีอีกแล้วด้วย

 

จู่ๆเมืองสองเมืองที่ยิ่งใหญ่ด้วยกันทั้งคู่จะไปใช้ชื่อเหมือนกัน เช่น ลอนดอน จะไปใช้ชื่อว่า ปารีส  อีกชื่อหนึ่งด้วย..มันจะเป็นไปได้หรือ

 

มีคำว่า “กัมโพช” ปรากฏในชินกาลมาลีปกรณ์อีกตอนหนึ่งว่า “…ทหารหาญชาวหริภุญชัยได้ทราบการมาของสิริคุตตะอำมาตย์ จึงไล่ติดตามพวกทหารชาวเมืองลวปุระเหล่านั้น ฝ่ายทหารชาวเมืองกัมโพชามีความกลัวเป็นที่สุด…”

 

หริภุญชัยคือ ลำพูน ส่วนลวปุระก็คือ ลพบุรี  (เป็นที่ยอมรับกันกว้างขวางรวมทั้งผมด้วย) จากเนื้อความท่อนนี้จะเห็นได้ชัดว่ามีทหารสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งเป็น  ทหารชาวเมืองลพบุรี  อีกกลุ่มเป็นทหารชาวเมืองกัมโพชา ดั้งนั้นลพบุรี ไม่ใช่กัมโพช แน่นอน

 

กัมโพชหรือกัมโพชาต้องหมายถึงเมืองอื่นนอกจากลพบุรีอย่างแน่นอน …โดยอย่างน้อยที่สุดหมายถึงอยุธยา และอย่างมากที่สุดหมายถึง กัมพูชาเดสา หรือ นครวัดนั่นเอง  (ศิลาจารึกที่นครวัดเรียกตนเองว่า กัมพูชาเดสา ที่ซึ่งเขมร (ที่ไม่ใช่ขอมแน่นอน) นำมาอ้างเป็นชื่อประเทศตนเองในทุกวันนี้)  

 

เมื่อได้สะกิดใจในประเด็นนี้แล้ว ก็ต้องกลับไปอ่านชินกาลฯ ใหม่ที่ว่า “…พระเจ้ารามาธิบดีกษัตริย์อโยชชปุระเสด็จมาจากแคว้นกัมโพช” และ  “… เมื่อพระเจ้ารามาธิบดีผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นกัมโพชและอโยชชปุระสวรรคตแล้ว วัตติเดชอำมาตย์มาจากเมืองสุวรรณภูมิยึดแคว้นกัมโพชได้…”

 

คำว่า”แคว้น”ในสมัยโน้นน่าจะหมายถึง “ประเทศ” ในสมัยนี้  จากท่อนความนี้จึงชัดเจนว่า พระเจ้าอู่ทองนั้นมาจากประเทศกัมพูชาและยังเป็นกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาอีกด้วย (อโยชช ..ตัวธอาจกร่อนเป็น ช ไปนะ)   (สมัยก่อนนั้นแต่ละแคว้นมีกษัตริย์ได้หลายองค์ เพราะกษัตริย์ครองเมือง ไม่ได้ครองแคว้น)  แต่การใช้ภาษาต่อมาว่า “ผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นกัมโพช” แสดงว่ากรุงศรีฯเป็นเมืองหลวงแห่งประเทศกัมพูชาอีกด้วย 

 

การที่ชินกาลฯใช้ภาษาเช่นนี้ เป็นเพราะเกิดจากความเข้าใจของกษัตริย์ล้านนาว่า…

 

1) พระเจ้าอู่ทองเป็นชาวกัมพูชาที่อพยพมาจากนครวัด เมืองหลวงเก่า   

 

2) อยุธยา เป็นเมืองหลวงใหม่ของแคว้นกัมโพชา แสดงว่ายอมรับว่า นครวัด ไม่ใช่ “ผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นกัมโพช” อีกต่อไปแล้ว  ตรงนี้อาจเนื่องเพราะความฉลาดทางการทูตของพระเจ้าอู่ทองที่ทำให้ทั้งลพบุรี หริภุญชัย ล้านนา ยอมรับว่าพระองค์ยังคงเป็น “ผู้ยิ่งใหญ่” ในกัมพูชา แม้นว่าจริงๆแล้วถูก ทาสแตงหวาน ไล่ฆ่า จนต้องกระเจิงหนีมาพึ่งใบบุญ ลพบุรี ที่ศรีอยุธยา

 

หลักฐานตรงนี้เสริมทฤษฎีของผมที่ว่า พระเจ้าอู่ทองทรงมาจากนครวัด..ไม่เช่นนั้นล้านนาคงไม่บันทึกเหตุการณ์ไว้ด้วยภาษาเช่นนั้น

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๒๗ มกราคม ๒๕๕๔)


ยาแก้งูกัด..ว่าชะงัดนักแล

5 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 30 January 2011 เวลา 7:37 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2921

หมอผีหญิงร่ายมนนต์เขมรช่วยคนถูกงูกัดรอดชีวิต

 

เมื่อสักปีพศ. ๒๕๔๖ (บวกลบไม่เกินสองปี)  จู่ๆ กลางดึกของคืนวันหนึ่ง ในช่วงฤดูฝน  มีคนขับรถมอไซค์มาแจ้งผมถึงบ้านด้วยความระลักลั่นว่า “อาจารย์ ๆ  ผู้ใหญ่ศรถูกงูกัด ไมน่ารอด ผู้ใหญ่แกถามถึงอาจารย์ ให้ไปช่วยแกด้วยนะ”

 

(ผู้ใหญ่ที่ว่านี้คือ ผู้ใหญ่ คมศร แห่งบ้านตะพานหิน ริมประตูรั้วแห่ง ม.ที่ผมมาสอน มันเป็นป่ามาก มีงูมากจริงๆ ผมเองก็เจอมาด้วยตัวเองอย่างเหลือเชื่อ เช่น งูเลื้อยเข้าไปในกางเกง ไปพันขาผมไว้ ขณะนอนหลับเล่นในบ้านช่วงกลางวัน)

 

ด้วยความสนิทกันกับผู้ป่วยที่รู้จักกันไม่นานเดือน ผมบึ่งไปเยี่ยมไข้ทันที  โรงพยาบาลที่ว่าคือ  บ้านหมอผี  ริมรั้วอีกด้านหนึ่ง คือบ้านหนองบง  หมอเป็นผู้หญิง  อายุประมาณ 40    เห็นผู้ใหญ่ที่แสนทระนง กำลังถูกเป่าด้วยมนต์หมอผี หน้าตาบ่งถึงความเจ็บปวดอย่างมหันต์ จวนเจียนใกล้มรณา

 

ขณะนั้นผมทำงานสอนวิชาวิศวกรรมศาสตร์อยู่ที่ม.เทคฯสุรนารี  หลังจากที่ทำงานวิจัยด้านการออกแบบเครื่องยนต์ยานอวกาศด้วยการจำลองห้องเผาไหม้ด้วยคอมพิวเตอร์อยู่กับองค์การอวกาศ สรอ.มา ๑๘ ปี  ผมก็วิทยาศาสตร์จ๋า ไม่เชื่อมากนักหรอกในเรื่องพวกนี้  แต่ก็หาใช่ว่าผมจะปฏิเสธ

 

ผมเห็นว่าหมอแกเอาเหล้าขาว 40 ดีกรี อมเข้าปาก พ่นลงบนรอยที่งูกัดแบบส่ายหน้าไปบนแนวยาวขา คร่อมรอยที่ถูกกัด …พอพ่นเสร็จก็ร่ายคาถา ที่ฟังไม่รู้เรื่อง นัยว่าเป็นภาษาเขมร (ขอมโบราณ) จากนั้นอีก 15 นาที ก็ทำซ้ำแบบเดิมๆ …จนดึกดื่นมาก  จนผมง่วงมาก  กอร์ปกับอาการดูดีขึ้น ผมก็ลากลับ พร้อมให้กำลังใจผู้ใหญ่และญาติมิตรเต็มลานบ้านหมอ

 

…แล้วแกก็รอดจริงๆ ทั้งที่งูที่กัดนั้นคือ งูสามเหลี่ยม ที่พิษร้ายกว่างูเห่าเสียอีก (แต่คนไทยไม่ค่อยรู้กันหรอก)

 

เล่ากันว่าแม่ครูมนต์เขมรคนนี้รักษาคนถูกงูกัดรอดตายมานับร้อยแล้ว ยกเว้นแต่งูจงอาง ที่ท่านรักษาไม่รอดเพียงรายเดียวเท่านั้น ดังนั้นโดยหลักสถิติ ท่านรักษาได้รอดกว่าโรงพยาบาลหลวงเสียอีก  จึงคนส่วนใหญ่ในแถบนี้เวลาถูกงูกัดมักมาหาท่าน มากกว่าที่จะยอมไปรักษาที่โรงพยาบาลหลวง ที่มีหมอเรียนมาจากตำราฝรั่งจำนวนมาก

 

ผมมาได้คิดภายหลังว่า วิธีการรักษาของท่านหมอเขมรเป็นวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง คือ ใช้ทั้งด้านฟิสิกส์ และด้าน จิตเวช

 

  • 1) ด้านฟิสิกส์คือ เหล้าขาวมี Lกฮ มาก ช่วยให้เกิดการระเหยที่ผิวหนังรอบๆรูที่ถูกกัด ก็ระเหยเอาพิษงูกัดออกไปจากกระแสเลือด ว่าไปแล้วไม่ใช่กระแสเลือด แต่เป็นกระแสน้ำเหลืองที่แล่นอยู่บริเวณผิวเท่านั้นเอง
  • 2) กำลังใจจากญาติมิตรสหายก็สำคัญ ผมเชื่อว่าหมอคงถามว่า อยากให้ใครมาเป็นเกียรติในงานเป่านี้ ผู้ใหญ่แกก็คนบ้านนอก ผมน่าจะคือคนที่แกเคารพรักมากที่สุด หมอเขาอ่านออกก็เลยให้คนไปตามผมมาโดยด่วน ทำให้ผู้ใหญ่ได้กำลังใจมาก เลยมีระดับ immune เพิ่มขึ้นจากกำลังใจ ก็ช่วยบรรเทาพิษงูกัดได้มาก ..หลงตัวเองหรือป่าวเนี่ย
  • 3) ทำเป็นสวดมนต์ด้วยภาษาศักดิสิทธิ์ ที่ฟังไม่รู้เรื่อง ก็ยิ่งไปกันใหญ่ ..หมอผีทั่วโลก รู้จักทริกทางจิตเวชนี้ด้วยกันทั้งสิ้น แต่วันนี้วิทยาการฝรั่งกำลังสอนเราว่ามันเป็นเรื่องล้าหลัง ป่าเถื่อน

 

 

สรุปคือ หมอเขมรนางนี้ เธอเก่งมากจริงๆ มีความรู้รอบด้าน ที่สำคัญ คือจิตเวช  ที่หมอไทยวันนี้ไม่ค่อยให้ความสำคัญ เพราะไปเรียนตามฝรั่งเสียหมด ที่เน้นไปแต่ด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์

 

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๓๐ มกราคม ๒๕๕๔)

 

ปล. มนต์ที่หมอ”เขมร”แกสวดนั้น ทำเป็นงึมงำ ไม่ให้เข้าใจเสียงั้นแหละ ก็อะไรที่เราไม่เข้าใจเราก็เทิดทูนว่าศักดิ์สิทธิ์   มุกเดียวกับนโปเลียน ที่ทำตัวเป็นหมอ รักษาบาดแผลทหารที่เกิดจากการรบ ด้วยการหลับตาแล้วสวดแล้วบอกว่าตัวยาวิเศษที่กำลังทาแผลนี้คือ   ”อาโป ลาโว วอโต” ที่พระเจ้า “อะไรอุ๊สอุ๊ส” ประทานมาให้ จนบาดแผลทหารหายกันหมด  จนออกมารบจนชนะสงครามในที่สุด

 

ภายหลังได้ทำการถอดรหัส พบว่า อาโป ลาโว วอโต แปลว่า  ”น้ำ น้ำ และน้ำ”  โดยฟิสิกส์น้ำไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่กำลังใจที่ทหารได้จากการที่ผู้นำที่เขาเชื่อถือ ลดตนลงมามาเป่าแผลให้เขาต่างหาก ที่เยียวยาได้ชะงัดยิ่งกว่าสิ่งใด


ทำไม่ฝรั่งเจริญกว่าไทย (๓)

7 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 30 January 2011 เวลา 12:10 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1966

ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (๓)

 

ฝรั่งต่างจากไทยมากในอีกประการหนึ่งคือ เขาเน้นการมองไปที่เนื้อหา (substance)  ส่วนไทยเราเน้นการมองไปที่รูปแบบ (form)

 

แนวคิดนี้ผมได้นำเสนอไว้เป็นบทความในหลายที่ เริ่มตั้งแต่เมื่อประมาณพศ. ๒๕๓๕ โดยผมได้ฉุกคิดเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อพศ. ๒๕๒๓ ปีแรกที่ไปเรียนอเมริกา ที่ต้องทำใจใส่เสื้อผ้าที่ไม่ผ่านการ “รีด” ไปเรียนหนังสือ เพื่อให้เหมือนกับคนท้องถิ่น

 

เมื่อก่อนอยู่เมืองไทย ก็เคยดีดดิ้น ฉุยฉาย ใส่แต่เสื้อกางเกงกีบโง้ง  แต่..ในที่สุดก็ต้องทำใจ…ก็ใส่มันยับๆอย่างนั้นแหละ

ถ้าอยากใส่เสื้อรีด ต้องรอให้รวยระดับเป็นซีอีโอของบริษัทที่มีเครือข่ายทั่วประเทศนั่นเทียว ผมได้สังเกตว่าแม้ซีอีโอ บริษัทท้องถิ่นก็ใส่ยับๆ แบบเรานี่แหละ อาจเป็นเพราะค่าจ้างรีดเสื้อมันแพงมหันต์ อีกทั้งเราเองก็ต้องทำงานล่กๆ ไม่มีเวลาเหลือเอาไปทำเรื่องงี่เง่า เช่น การรีดเสื้อผ้า

 

ส่วนคนไทยเรา แม้หาเช้ากินค่ำ  หรือเป็นนักเรียนที่เป็นลูกของคนหาเช้ากินค่ำ ส่วนใหญ่จะประดิดประดอยเสียเวลามากมายเพื่อรีดผ้ากันอยู่นั่นแหละ เพราะคนไทยเราถือว่า รูปแบบภายนอกที่เรียบ (เหมือนผ้าที่ถูกรีด) คือบันไดสู่ความสำเร็จ  ดังนั้น ถ้าเราลงทุนเสียเวลารีดผ้าไม่นานเท่าไร (ที่ไม่ต้องใช้สมองมากนัก)  อีกหน่อยก็จะได้ดี มีอำนาจ เป็นใหญ่โต เป็นเจ้าคน…นายคน พวกซำเหมา เสื้อยับผมยุ่งนั้นยากส์ที่จะได้เป็นใหญ่ แม้จะเก่งปานใดก็ตาม

 

อย่าลืมสิ..ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง เราต้องทำตัวให้ “ดูดี”  เข้าไว้ เจ้านายจะได้เอ็นดู ดังนั้นนักศึกษาไทยจึงต้องแต่งเครื่องแบบ ต้องผูกไท มีชุดพิเศษในสถานการณ์ต่างๆอีกด้วย

 

จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าประเทศไทยเราจึงมีแต่รูปแบบ (เช่นกฎระเบียบ) ที่สวยหรู ส่วนเนื้อหา (การบังคับใช้กฎระเบียบ) เราล้มเหลวสิ้นเชิง

 

ครั้งหนึ่งนานมาแล้วผมเคยเป็นกรรมการตัดสินการนำเสนอบทความ (ด้วยปากเปล่า) ของนักศึกษา ผมอ่านระเบียบการให้คะแนนแล้วก็ลุกยืนขึ้นคัดค้าน เพราะผมประเมินได้ว่าคะแนน 80 แต้มเป็นคะแนนด้านรูปแบบ อีก 20 แต้มเป็นคะแนนด้านเนื้อหา หมายความว่า ถ้านศ.คนไหนนำเสนอเนื้อหาได้ดีเหลือเกิน แต่ออกเสียง ร ล ไม่ชัด แต่งกายไม่เรียบร้อย ไม่ยกมือไหว้ก่อนพูด ก็คงได้คะแนนสัก 30  แต่อีกคนเนื้อหาแย่มาก แต่รูปแบบดีเอาไป 75 แต้ม แน่นอนว่าการค้านของผมไร้ผล

 

การประเมินการสอนของอาจารย์โดยนศ.ของมหาลัยไทย ก็ลองไปดูกันเถอะครับ เน้นไปที่รูปแบบการสอนมากกว่าเนื้อหา คุณภาพ ดังนั้นถ้าเชิญนักฟิสิกส์โนเบลมาสอนในมหาลัยไทย เชื่อได้เลยว่าอจ.ไทยจะได้คะแนนประเมินสูงกว่า

 

หันมามองวัดไทย รูปแบบสวยหรูหยาดเยิ้ม ติดประดับวับแวมวาวแวว ช่อฟ้า ใบระกางอนเช้ง แต่หาอรรถประโยชน์ไม่ค่อยได้ เช่น พระอุโบสถใช้ประโยชน์ได้เฉพาะเอาไว้ตั้งพระประธานให้คนไปจุดธูปบูชา (ขอหวย) ทั้งที่ลงทุนไปมาก ส่วนโบสถ์ฝรั่ง เรียบง่ายไม่มีประดับประดา แต่ใช้งานได้สารพัด มีอาคารเดียวทำหน้าที่ได้หมด เป็นที่บูชา (มีรูปปั้นพระไครสท์ในนั้น)  เป็นศาลาการเปรียญสำหรับฟังธรรม ด้านหลังเป็นที่พักสงฆ์ ด้านบนเป็นหอระฆัง เขามีอาคารเดียวส่วนเรามี 4 อาคาร ของเราเน้นรูปแบบ ของเขาเน้นเนื้อหา

 

นักจัดรายการทีวี ของเราเน้นที่สวยหล่อสาวหนุ่ม ของเขาเน้นที่เก่ง แม้จะแก่และอ้วนอย่างไรก็ได้ คนอย่าง ออปรา วินฟรี (หญิงดำแก่อ้วน นักจัดรายการทีวีเมกา ที่รวยที่สุด และมีอิทธิพลที่สุด) นั้น ถ้ามาอยู่เมืองไทยคงเป็นได้แค่คนเทกระโถนให้นักจัดรายการ

 

นักข่าวในทีวีก็เช่นกัน ของเขามีแต่แก่ๆ เกิน 50 ทั้งนั้นส่วนของเราน้อยกว่า 30 เป็นส่วนใหญ่  เพราะการจะอ่านข่าวได้เก่งนั้นมันต้องเก๋า ความเก๋าจะมีได้ก็ต่อเมื่อแก่เท่านั้น

 

ดาราหญิงฝรั่งจะมีค่าตัวสูงสุดเมื่ออายุประมาณ 40 ส่วนผู้ชายประมาณ 50 ส่วนของไทยเราสูงสุดเมื่อ 20 ถ้าแก่ระดับ 40-50 ต้องแสดงบทแม่พ่อแล้ว (ค่าตัวน้อยลงสิบเท่า)  นี่แสดงว่าความสวยสาว (รูปแบบ) ไม่สำคัญสำหรับฝรั่งเขา สำคัญที่ “แสดงเก่ง” (เนื้อหา) และคนจะแสดงเก่งได้นั้นมันต้องเก๋า ก็ต้องแก่สักหน่อยนั่นเอง

 

นักการเมืองไทยเรา ใครเป็นดาราดัง นักมวยแชมป์โลก เป็นพี่สาวนางงาม ก็ได้รับเลือกตั้งแล้ว โดยไม่ต้องมีประวัติการทำงานด้านการเมืองแต่อย่างใด ส่วนของเขาที่เป็นดาราพอมีอยู่บ้าง แต่ก็ต้องเก่งด้วยนะ ส่วนนักมวย พี่สาวนางงาม ไม่เคยเห็น ทั้งที่พวกนี้เขามีมากกว่าเราหลายเท่า

 

จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมนักเลือกตั้งไทย เวลาหาเสียงเลือกตั้งจึงเน้นแต่รูปถ่ายที่เป็นเครื่องแบบ มีเหรียญ มีปีก ติดห้อยกันเต็มหน้าอก แต่ไม่เคยแถลงผลงานอะไรเลย แค่นี้ก็ได้รับเลือกแล้ว

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๒๔ กันยายน ๒๕๕๓)

 

 


ขอม สยาม เขม ทฤษฎีใหม่ (๓)..หลักฐานด้านภาษาและสีผิว

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 30 January 2011 เวลา 11:18 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2533

คนสยามสร้างนครวัดหลักฐานด้านภาษาและสีผิว

 

พศ. ๒๕๕๔ โลกวันนี้เชื่อตามการวิเคราะห์ของนักวิชาการฝรั่งว่า  สยามคือผู้ร้ายที่บุกไปย่ำยีนครวัดจนล่มสลาย จึงสงสารเขมรตัวเล็กที่ถูกรังแกโดยสยามตัวใหญ่ผู้โหดเหี้ยมตลอดมา  ..คะแนนสงสารนี้มีส่วนช่วยให้ศาลโลกตัดสินยกปราสาทพระวิหารให้เขมร

 

ผมได้เสนอทฤษฎีใหม่ (ในบทความ ผจก.ออนไลน์ สองฉบับก่อน)  ว่าเขมรต่างหากเล่าที่ปล้นเอานครวัดไปจากคนสยามอย่างโหดเหี้ยมด้วยการฆ่าชาวเสียมเสียจน “เสียมเรียบ”  ซึ่งผมได้เรียงต่อเศษชิ้นเหตุการณ์และบริบทใหญ่น้อยที่แตกกระจายอยู่ในกาลเวลาและสถานที่ ขึ้นเป็นรูปร่างที่ชัดพอควร ผมหวังว่าจะมีการเสริม หรือแย้งอย่างสร้างสรรค์ให้มากที่สุด เพื่อเปิด(หรือปิดแล้วแต่กรณี)หน้าประวัติศาสตร์ใหม่อันสำคัญยิ่งนี้

 

ในบทความนี้ผมขอเสนอหลักฐานเพิ่มเติมอีกสองท่อนที่พบในบันทึกของทูตการค้าจีน”โจวตากวน” (ฉบับแปลตรงจากจีนเป็นอังกฤษ) คือ 1) บรรดาข้าราชการและนักปราชญ์ที่นครวัดใช้ภาษาเป็นอีกภาษาหนึ่งที่ต่างจากชาวบ้านทั่วไป  2) ชาวบ้านทั่วไปผิวดำมาก..แต่คนในบ้านขุนนางหลายคนผิวขาวดังหยก

 

เป็นการเสริมหลักฐานหลากหลายอื่นที่ผมได้นำเสนอไว้แล้วว่า..เผ่าพันธุ์ประชาชนทั่วไปที่นครวัดต่างจากชนชั้นปกครองที่เป็น “สวายาม”  สยาม”  ”เสียม”   (หรือขอมนั่นเอง)  ส่วน เขมร” นั้นเป็นเผ่าพันธุ์ของคนพื้นเมืองที่ส่วนใหญ่เป็นพวกข้าทาส (ตามบันทึกโจวฯ) ที่มีภาษาพูดและการนับเลขเป็นอีกระบบ  การทอผ้าก็คนละระดับ อีกทั้งเข็มและด้ายเย็บผ้านั้นชาวบ้านก็ไม่รู้จักใช้

 

เรื่องชนชั้นปกครองพูดกันคนละภาษากับชาวบ้านนี้ไม่ใช่ของแปลก เช่นคนชั้นปกครองอังกฤษสมัยเริ่มยุคกลางก็พูดภาษาฝรั่งเศส ตอนหลังโกรธกันก็เลยหันมาพูดภาษาคนพื้นเมือง (ภาษาอังกฤษ)

 

จารึกภาษาขอมโบราณบนแผ่นศิลาที่นักวิชาการไทยเรียกกันแบบ “เชื่องๆ” ตามฝรั่งว่า ภาษาเขมร นั้น แท้จริงแล้วเป็นภาษาสันสกฤตที่จารึกด้วยตัวอักษรขอม ที่มีใช้แพร่หลายแถบเมืองอู่ทอง ศรีเทพ(เพชรบูรณ์) ศรีมโหสถ(ปราจีนบุรี)  ลพบุรี เมืองเสมา(นครราชสีมา)  และพิมาย ก่อนหน้าการจารึกที่นครวัดนับร้อยปี

 

นั่นแสดงว่าภาษาขอมแพร่จากลพบุรีและพิมาย ไปสู่นครวัด ..หาใช่เป็นตรงกันข้ามตามที่นักวิชาการประวัติศาสตร์ไทยถูกทำให้เชื่อตามบงการของฝรั่งไม่

 

สำหรับจารึกที่นครปฐมมีมาก่อนยุคเริ่มนครวัดนานนับสามร้อยปี ส่วนใหญ่เป็นภาษาบาลี และ สันกฤต อักษรที่ใช้ส่วนใหญ่คือ “ปัลลวะ” (อินเดียใต้)  ส่วนคำว่า “วรมัน”  (ที่ใช้ต่อท้ายพระนามกษัตริย์นครวัด) ก็มีใช้ที่ศรีเทพ และ อู่ทอง ก่อนใช้ที่นครวัดนับร้อยปีเสียอีกด้วย

 

โจวฯบันทึกว่าชาวบ้านทั่วไปในพระนครวัดนับเลขหกเป็นห้าหนึ่ง เจ็ดเป็นห้าสอง เก้าเป็นห้าสี่ ซึ่งต่างจากเลขขอมโดยสิ้นเชิง ที่ใช้ระบบ หก เจ็ด แปด เก้า สิบ ซึ่งเหมือนกับระบบเลขสยามทุกประการ  อีกทั้งตัวเลขก็เหมือนกันทุกประการอีกด้วย (ชาวเขมรวันนี้ก็ยังนับเลขเหมือนดังที่โจวฯบันทึกไว้ในวันโน้นทุกประการ)

 

การนับเลขที่ต่างกัน ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่สุดว่า เขมรไม่ใช่ขอมผู้สร้างนครวัด ..อีกหลักฐานหนึ่งคือพงศาวดารเขมรฉบับแรก (ที่ยังไร้อิทธิพลฝรั่งเศสเสี้ยมสอน)  ได้ระบุว่า ต้นตระกูลเขมรคือทาสชื่อ “แตงหวาน”

 

กรณีคนในบ้านขุนนางหลายคนมีผิวขาวดังหยก ก็ไปเสริมว่าคงเป็นคนสยาม เพราะคนสยามนั้นมีทุกสีผิวตั้งแต่คล้ำ นวล จนถึงขาว เนื่องมาจากการผสมยีนส์ของคนหลายเผ่านานมาหลายพันปี ส่วนคนพื้นเมืองเขมรนั้น โจวฯ ว่าผิวดำมากเหมือนกันหมด แสดงว่าเป็นคนละเผ่ากับชนชั้นปกครอง (ไทยเรายังมีภาษิตเหน็บแนมว่าห้ามคบ “เขมรขาว”)

 

ในที่สุดทาส ภายใต้การนำของ “แตงหวาน” (ตรอซ็อกปะเอม..ต้นตระกูลเขมร) ก็ไล่ฆ่าสยามวรมันเรียบในปีคศ. 1336 ล้มล้างระบบเทวราชา (กษัตริย์เป็นสมมติเทพ) เปลี่ยนชื่อเมืองพระนครเป็น “เสียมเรียบ” (สยามเรียบ)  

 

พวกเสียมที่เหลือตายก็หนีมาสร้างเมืองใหม่ที่กรุงศรีอยุธยา (สร้างเสร็จเมื่อ คศ. 1350) นำระบบเทวราชาติดตัวมาด้วย  รวมทั้งภาษาพูดชนชั้นปกครอง ที่กลายมาเป็นราชาศัพท์ของสยามในที่สุด  ดังเห็นได้ว่าราชาศัพท์เป็นการผสมของภาษาขอมโบราณกับสันสกฤตนั่นเอง ส่วนเขมรก็ลอกเอาอักษรขอมไปใช้ แต่ภาษานั้นเป็นภาษาเขมร การนับเลขเป็นเครื่องยืนยัน

 

ไม่เช่นนั้นพระเจ้าอู่ทองจะเอาคนสามแสนมาสร้างกรุงศรีฯได้จากไหน เพราะเมืองอื่นโดยรอบต่างมีพลเมืองระดับต่ำแสน รวมถึงทั้งเมืองอู่ทองที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นเมืองร้างมาสามร้อยปีก่อนหน้านั้น

 

ภาษาไทยที่อยุธยาแพร่เข้ามาพร้อมกับการอพยพของคนพูดไทยเพื่อพึ่งบารมีของพระเจ้าอู่ทอง ดังในวรรณกรรมยุคต้นอุยธยา ที่ใช้ภาษาขอม ปนสันสกฤต ไทย และบาลี เช่น โองการแช่งน้ำ และลิลิตยวนพ่าย ภาษาขอมมีบทบาทจนแม้ถึงสมัยปลายอยุธยา ดังที่เจ้าฟ้ากุ้งทรงสร้างแบบเรียนมูลภาษาไทยและขอมคู่กัน

 

กาลเวลาได้กร่อนกลืนภาษาขอมโบราณแห่งศรีอยุธยาจนปลิวละลายหายไปในกระแสหลักของภาษาไทยเสียเกือบหมดสิ้น เว้นแต่ราชาศัพท์ของเทวราชาวรมันแห่งนครวัดนั่นแลฯ

  

….ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๒๗ มกราคม ๒๕๕๔)

 



Main: 1.4782180786133 sec
Sidebar: 0.025207042694092 sec