Entries Tagged 'ภาพยนตร์' ↓

The boy in the striped pajamas

กรรมตามทัน

กำกับ : Mark Herman
นำแสดง : Vera Farmiga, David Thewlis, Rupert Friend, Asa Butterfield
ความยาว : 94 นาที
ระดับความชอบ : 9.5/10

เห็นปกหนังเรื่องนี้และคำนิยมบนปกเลยซื้อมา
หนังทำจากนวนิยายชื่อเดียวกัน
เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงสงคราม สมัยฮิตเลอร์
เปิด ตัวหนังด้วยบรูโน เด็กชายวัยแปดขวบวิ่งกับเพื่อนๆ กลับจากโรงเรียนกัน โดยวิ่งกางแขนเป็นเครื่องบิน ระหว่างวิ่งก็ผ่านฉากหลังการจับกุมชาวยิว

คุณพ่อของบรูโนเป็นทหาร และได้เลื่อนตำแหน่งไปคุมค่ายกักกันชาวยิว ซึ่งบ้านพักที่ใหม่อยู่ไม่ไกลจากค่ายกักกันชาวยิวมากนัก

ชาวยิวจะใส่ชุดนอนลายทาง (Striped pajamas) และมีเบอร์ในค่ายกักกัน

บรูโนชอบการสำรวจ และขาดเพื่อนเล่นในบ้านใหม่ เลยไปใกล้รั้วของค่ายกักกัน และพบเด็กชายชาวยิวอายุแปดขวบเท่ากันชื่อชมูเอล
เมื่อขาดเพื่อนเลยคุยกันผ่านรั้วลวดหนามอย่างถูกคอ

บรู โนจะมีครูมาสอนที่บ้านโดยเรียนพร้อมกับพี่สาว คุณครูมักสอนให้ทราบถึงความไม่ดีของยิว จนพี่สาวอิน แต่บรูโนมีแต่ข้อสงสัย ก็สิ่งที่เห็นและคุยกับชมูเอลช่างแตกต่าง

สิ่งที่ทหารทำในค่ายกักกันคือทยอยสังหารหมู่ชาวยิว ซึ่งคุณแม่ของบรูโนรับไม่ได้ เลยตั้งใจจะย้ายลูกๆ ไป
แต่วันจะไปบรูโนเสี่ยงเข้าไปสำรวจในสถานกักกัน โดยสวมชุดของชมูเอล แล้วก็โดนต้อนเข้าห้องสังหารพร้อมกับชมูเอล
ฉากสุดท้ายแรงมาก แต่ทำให้หนังหนักแน่นข่ึ้นเยอะเลย

คุณแม่แสดงโดย Vera Farmiga ดูหนังที่เธอเล่นมาสองเรื่องแล้วคือ Orphan และ Up in the air เล่นดีทั้งสองเรื่องเลย
เรื่องนี้ก็เล่นดีอีก น่าสนใจดาราคนนี้

ดนตรี การดำเนินเรื่อง ทำได้ดีมากครับ

หนังสอนธรรมะได้ดีมาก เวรกรรมมันตามทันเร็วกว่าที่เราคิดไว้เยอะเลยครับ
ดังนั้นหมั่นละความชั่วแล้วทำความดีกันเถอะครับ
เพราะ บางครั้งเรื่องร้ายอาจจะตามมาเกิดกับคนของเราแทน เหมือนในหนังเรื่องนี้แสดงให้เห็น อาจทำให้เราย้อนมามองการกระทำของเรา เมื่อสายไปแล้วก็ได้ครับ

เคยเห็นฉากหนึ่งในเรื่องสามก๊ก ตอนที่ขงเบ้งจะวางเพลิงทหารคู่ต่อสู้ในหุบเขา ขงเบ้งปรารภว่า “การทำเช่นนี้จะทำให้เราอายุสั้นลง” นั่นคือเขามองเห็นแล้วว่าจะมีกรรมตามสนองเขาแน่นอน
แต่ในเรื่องนี้ตัวละครโดยเฉพาะคุณพ่อไม่ได้ตระหนักถึงกรรมที่จะตามมา เลยต้องเจอผลของมันอย่างไม่ทันตั้งตัวเลยทีเดียว

เราทำอย่างไรก็ได้ผลอย่างนั้นแหละครับ ชีวิตนี้ไม่มีฟลุ๊คครับ

มีความสุขทุกคนครับ

Ip Man 2

ศักดิ์ศรีคนเราเท่าเทียมกัน

กำกับ : Wilson Yip
นำแสดง :  Donnie Yen (เจิ้นจื่อตัน), หงจินเป่า   
ความยาว : 108 นาที
ระดับความชอบ : 8.5/10

ประทับใจจากภาคแรกมามากทีเดียว ความคาดหวังเลยสูง หนังทำออกมาได้ดี ฉากต่อสู้ยังคงมันและตื่นเต้นเหมือนเดิม
เนื้อเรื่องเป็นช่วงที่อยู่บนเกาะฮ่องกง งานที่อาจารย์ยิปมันตั้งใจจะทำคือเปิดค่ายมวย อาจารย์เช่าที่บนดาดฟ้าไว้ ปิดประกาศสอนมวยหย่งชุน แต่ก็ยังไม่ค่อยมีใครมาเรียน 
จนลูกศิษย์คนแรกมาทดสอบฝีมือและตกลงเรียน 
เรื่องหนึ่งที่ดูลำบากใจคนเป็นอาจารย์คือการเก็บค่าเล่าเรียน ต้องให้ภรรยาทวงถึงจะเรียกเก็บจากศิษย์ เศรษฐกิจของฮ่องกงช่วงนั้นยังฝืดอยู่

แม้จะเริ่มมีศิษย์แต่ก็ยังขัดสนเรื่องเงินอยู่ดี แต่หากมีทางช่วยเหลือใครได้ อาจารย์ยิปมันก็ยื่นมือเข้าช่วยทันที อย่างการเข้าช่วยเพื่อนเก่าและฝากงานหนังสือพิมพ์ให้กับลูกเพื่อนอีก นี่เป็นนิสัยของอาจารย์มาโดยตลอด

จนต้องมาเผชิญหน้ากับเจ้าสำนักเดิมที่ฮ่องกง แม้ผ่านการทดสอบ แต่ก็ต้องจ่ายเงินค่าธรรมเนียมซึ่งอาจารย์ไม่ยอมจ่ายจนมีเรื่องเดือดร้อน ทำให้ต้องไปพบอาจารย์หง(หงจินเป่า) อีกครั้ง และประลองกันต่อจากการเสมอในครั้งที่แล้ว แต่ลูกน้อยของอาจารย์หงก็วิ่งมาขวางทำให้การประลองต้องยุติ ทำให้เห็นการเป็น Family Man ของทั้งคู่

การกดขี่จากฝรั่งในยุคนั้นมีแสดงในหนัง ทั้งเรื่องตำรวจและผลประโยชน์ต่างๆ 
แม้แต่บนเวทีการต่อสู้ สุดท้ายอาจารย์หงเลยต้องขึ้นเวทีชกกับมวยฝรั่ง เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของมวยจีน
ช่วงนี้เป็นสูตรสำเร็จไปนิด แพ้แล้วพระเอกก็มาล้างตาให้
ฉากต่อสู้พอได้ ไม่เหนือความคาดหมาย

ประโยคเด็ดตอนท้าย “คนเราแม้เกิดมาแตกต่าง แต่ศักดิ์ศรีของเราเท่าเทียมกัน เราจึงควรให้เกียรติซึ่งกันและกัน”
ที่เด็ดกว่านั้นต่อคำถามว่าจะทำอะไรต่อ “ผมอยากกลับบ้าน” สุดยอดครับประโยคนี้ ถูกใจ

ดูแบบภาษาจีนทั้งสองภาค ได้อารมณ์ร่วมดีจัง

มี บรู๊ซ ลี ออกมาในช่วงท้ายนิดหน่อยด้วย
อ่านเจอมาว่าทางผู้สร้างต้องการเอาประวัติของ บรู๊ซ ลี มาใช้ แต่ตกลงกับญาติของ บรู๊ซ ลี ไม่ลงตัว เลยมาใช้ช่วงที่เปิดสำนักแทน 
หากตกลงกันได้คงได้เห็นภาคสาม กำเนิด บรู๊ซ ลี ในเร็ววัน

ใครชอบหนังจีนกำลังภายใน ดูได้เลยครับ รับรองถูกใจ ได้ข้อคิดมาดำเนินชีวิต
และหากดูตั้งแต่ภาคแรก จะเห็นว่าอาจารย์ยิปมันมีแนวทางในการดำเนินชีวิตที่น่าเลื่อมใสทีเดียว

มั่นคงในความดี สักวันต้องได้ดีครับ
Link ที่เกี่ยวข้อง : Ip Man

Dear John

กว่ารักจะสมหวัง

กำกับ : Lasse Hallström
นำแสดง : Channing Tatum, Amanda Seyfried
ความยาว : 108 นาที
ระดับความชอบ : 7/10

แผ่น นี้ซื้อเพราะจะส่งให้น้องสาวที่ต่างจังหวัด เห็นเธอเรียกร้องอยากดู เธอเป็นแฟนนิยายของ Nicholus Sparks  เรื่องนี้ก็เป็นของนิเขียนท่านนี้แหละครับ
ไม่เคยอ่านผลงานของนักเขียนท่านนี้เลย

ได้ยินชื่อหนังเรื่องนี้จากวิทยุ ที่เปิดเพลงประกอบที่นางเอกร้องไว้ให้ได้ฟังจนชินหู

ตัวหนังออกจะเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีจุด Peak แม้แต่ช่วงคุณพ่อเสียยังไม่มีน้ำตาจากผู้ชมอย่างผมเลย

เนื้อเรื่องเน้นความรักของคู่พระนาง ผ่านทางจดหมายเป็นหลัก จนคำขึ้นต้นของจดหมายมาทำเป็นชื่อหนังได้เลย
พระเอกต้องไปเป็นทหาร เลยส่งจดหมายกันตลอด
จนวันหนึ่งจดหมายจากนางเอกขาดหายไป เป็นไปตามคาด เธอมีคนใหม่
หนังเดาทางได้ไม่ยาก ความน่าสนใจเลยมีไม่มากนัก
ความซึ้งก็ไม่ค่อยถึงใจเท่าไหร่นะ
ไม่รู้ตอนเป็นหนังสือจะซึ้งกว่านี้ไหม?

สงสัย เรื่องการส่งจดหมายเหมือนกัน ในระหว่างรบนี่เขาส่งจดหมายไปถึงทหารกันยังไง ระบุที่อยู่ที่ไหนของพระเอก หรือส่งเข้ากรมฯ ไปเลย เพราะเห็นพระเอกบอกว่าไม่สามารถบอกสถานที่ได้

สรุปว่าดูเพลินๆ ฟังเพลงประกอบที่ไพเราะดี เป็นจุดเด่นของเรื่อง

ยังไงหนังรักก็ยังทำให้เรายิ้มได้ในหลายฉากหลายตอน
เพราะโลกอยู่ได้ด้วยความรักนี่ครับ
แม้จะมีอุปสรรคหรือต้องรอนานเท่าไหร่ก็ตาม

รักกันให้มากๆ นะครับ
แล้วอย่าลืมรักโลกด้วยนะครับ เขาต้องการความรักจากเราด้วย

มีความสุขทุกคนครับ

ปล. วันที่ 5 มิถุนายน เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก มาทำอะไรดีๆ ต่อโลกกันนะครับ ก่อนที่จะสายเกินไป

Freaky Friday

สลับร่าง สร้างรัก

ระดับความชอบ : 8.5/10

เห็นหนังเรื่องนี้ตั้งแต่แรกออก ได้อ่านเนื้อเรื่องก็พอเดาทางได้
จน ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ บอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังในดวงใจ เลยไขว่คว้าหามาดูเสียหน่อย

เป็นหนังค่าย Walt Disney ซึ่งรับประกันเรื่องความสนุกและไม่มีพิษภัยต่อเด็ก

เคยได้ยินไหมครับว่า หากอยากเลี้ยงลูกให้ดีต้องทำตัวประหนึ่งว่าเราอายุเท่าลูก จะทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของเขาได้ดี
เอาเข้าจริงก็ทำไม่ค่อยได้หรอกครับ
ครอบครัวในเรื่องก็เช่นกัน ไม่เข้าใจกัน จนต้องมีปาฏิหารย์สลับร่าง จึงได้เรียนรู้กันและกัน
เมื่อสลับร่างทั้งคู่ก็ได้เรียนรู้ปมในใจของทั้งสองฝ่าย จนคลี่คลายปัญหาต่างๆ ไปด้วยดี

อาจารย์ วรภัทร์ใช้เรื่องนี้สอนพ่อแม่ครับ ต้องยอมรับว่ายังมีเรื่องอีกมาในตัวลูกที่เรายังไม่รู้หรือจัดการได้ ชีวิตเป็นของเขา เราคงแค่วางแนวคิด แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดคือเปิดใจของเราทำให้เขากล้าที่จะคุยกับเราให้มากที่สุด
เพราะเราไม่มี Freaky Friday ในชีวิตจริง

ฟัง ฟัง ฟัง แล้วก็ฟัง เป็นวิธีที่ดีที่สุดของพ่อแม่ เพราะถ้าเราฟังเขาในครั้งแรกเขาก็จะรับรู้ว่าเราพร้อมฟังเขาเสมอไม่ว่า เรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่

หรือถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นก็หาทางแก้กันด้วยหัวใจ แนะนำให้หาเรื่อง Juno มาดู

เราไม่ได้เกิดมาเป็นพ่อแม่ตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นต้องหาตำราหรือหาหนังมาดูเพื่อนำแนวทางในการเลี้ยงลูกมาปรับใช้
เพราะการสร้างคนหนึ่งคนเป็นหน้าที่ที่ไม่ง่ายเลย แต่ถ้าทำสำเร็จก็จะมีความสุขมากที่สุดทีเดียว
เพราะเขาหรือเธอนั้นคืออนุสาวรีย์ของเราครับ
เราอยากจะให้เป็นอย่างไรก็ลองปั้นกันดูนะครับ

Cherry Blossoms

บูโด เต้นรำเชื่อมใจ

กำกับ : ดอริส ดอร์รี่
นำแสดง : เอลมาร์ เวพเพอร์, ฮันเนลอร์ เอลส์เนอร์, อายะ ไอริซูกิ
ความยาว : 127 นาที
ระดับความชอบ : 8.75/10

หนังเรื่องนี้มีหลายรางวัลบนปก
ตอนแปลงลง iPhone ให้เลือกภาษาที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ดูแล้วน่าจะสัญชาติเยอรมันนะ

เป็นเรื่องพ่อแม่ไม้ใกล้ฝั่ง เลี้ยงลูกหลายคน พ่อแม่เลี้ยงได้ พ่อแม่คู่เดียว ลูกเลี้ยงไม่ได้ เป็นกันทั่วโลกครับ
พ่อแม่ทั่วโลกรักลูกเสมอ นี่เป็นเรื่องจริงอีกข้อ

แม่ในเรื่องอยากให้พ่อได้อยู่ใกล้ลูกก่อนตาย
แม่ในเรื่องเต้นบูโด
ลูกของแม่คนหนึ่งทำงานที่ญี่ปุ่น
แม่อยากชมภูเขาฟูจีมาก
สุดท้ายแม่ตายก่อนโดยยังไม่ได้ชมภูเขาฟูจี

คุณพ่อตัดสินใจเดินทางไปหาลูกชายที่ญี่ปุ่น
ลูกชายพักในห้องพักตามประสาคนเมือง
ก่อนพ่อเดินออกจากบ้านในแต่ละวันจะผูกผ้าเช็ดหน้าไว้ที่รั้วริมถนนกันลืม ฉากสุดท้ายผ้ายังผูกอยู่เลย ละเอียดดีหนังเรื่องนี้

สิ่ง ที่เด่นที่สุดของหนังเรื่องนี้คือจิตวิญญานของการรำบูโด ในเรื่องบอกจากปากยู สาวน้อยชาวญี่ปุ่นว่าเธอใช้สื่อสารกับแม่ของเธอที่ล่วงลับ แม่ของเธอมักใช้โทรศัพท์ เธอจึงใช้โทรศัพท์ประกอบการร่ายรำ
คุณลุงรูดี้สนใจเมื่อทราบแนวคิดของการรำบูโด สุดท้ายเขาเดินทางไปภูเขาฟูจีพร้อมชุดของภรรยา
ไปสองสามวันแรกเมฆหมอกบังทำให้มองไม่เห็นภูเขา
จน ฟ้าเปิดตอนมืด คุณลุงรูดี้ทาหน้า สวมชุดไปรำบูโดต่อหน้าภูเขาฟูจี เหมือนพาภรรยาของ เขามาชมด้วย ปลดล็อคหัวใจ แล้วก็จากไปอย่างสงบ มีความสุข

เคยอ่านเรื่องสั้นผลงานของคุณกนกพงศ์ สงสมพันธุ์ เรื่อง คืนนั้นจันทร์ฉาย เขาเขียนถึงการรำมโนราห์ที่มีจิตวิญญานในนั้น สุดยอดเลยครับ
การแสดงศิลปะจะมีจิตวิญญานอยู่ข้างในอย่างนี้เสมอ

ต้องถือว่าเป็นหนังยุโรปที่เล่นกับศิลปะการรำบูโดได้อย่างถึงจิตวิญญานดีครับ

แต่ จะดีกว่าหากเราทำดีกับคนของเราตั้งแต่เขามีชีวิต ไม่ต้องรอมาทำดี ทำสิ่งที่เขาต้องการในตอนที่เขาหรือเธอไม่อยู่แล้ว ผมว่าไม่มีประโยชน์
โดยเฉพาะคนนั้นๆ คือพ่อแม่ของเรา เพราะท่านคือพระอรหันต์ใกล้ตัวที่สุด ไม่ต้องไปทำบุญที่ไหนไกล
ไม่ต้องรอเคาะโลงเรียกทานข้าว หรือรำบูโด เพื่อรำลึกถึงเขาหรือเธอ ทำดีต่อกันเสียแต่วันนี้
เพราะไม่รู้ว่ารำบูโดแล้วจะเชื่อมต่อกับเขาหรือเธอได้จริงไหม

มีความสุขทุกคนครับ

Jerry Maguire

เอาหนังเรื่องนี้มาดูอีกรอบ แบบพินิจ เพราะเป็นหนังในดวงใจของใครหลายคน
อ่านเจอในเล่มของคุณวงศ์ทนง เขาเขียนไว้ว่า “คุณนั่นแหละ Jerry Maguire” แล้วก็สาธยายถึงการให้ การรักผู้อื่น
จนต้องเอามาดูอีกครั้ง

เหตุเกิดเพราะพระเอกของเราเกิดสำนึกอยากทำงานที่ดีกับคนอื่นบ้าง หลังจากลูกนักกีฬาที่ตนเป็นเอเย่นต์ด่าเอา

คำแถลง ๒๕ หน้านั้นช่างมีความหมาย ถ้าเปรียบก็เหมือนตอนเรียน 7 Habits มันคือ Mission Statement
แล้วมันก็เปลี่ยนชีวิต Jerry Maguire

สุดท้ายเขามีนักกีฬาในมือแค่คนเดียว
พนักงานในสังกัดคนเดียว และที่เธอมาด้วยก็เพราะ Mission Statement ฉบับนั้น

สุดท้ายเขาและเธอก็ออกเดทกัน
ในหนังพยายามบอกว่าแม่หม้ายไม่เดทกับใครง่ายๆ

ฉากที่เดทกันมี Soundtrack สุดเจ๋งจาก The Boss : Bruce Springsteen
ชื่อเพลง Secret Garden วันนี้เพิ่งเล่น YouTube เลยขอเอามาลงไว้บ้าง อ่านเนื้อร้องแล้วยิ่งซึ้ง

สองคำสุดหวาน คำแรกเปิดไว้ต้นเรื่องจากคนหูหนวกบอกรักกัน
คำหลังนางเอกตอบรับพระเอก
You complete me.
You had me at Hello.

คำขอบคุณจากใจคนที่พระเอกดูแล

“ทำไมเราไม่สัมพันธ์กันแบบนี้บ้าง?” นักกีฬา Super Star ถามเอเย่นต์ของเขา เป็นการเปรียบเทียบที่ดีจัง

หนังดีจริงๆ ครับ
สมแล้วที่อยู่ในใจหลายคน
บางคนดูหนังเรื่องนี้หลายรอบ
บางคนดูหนังเรื่องนี้เมื่อต้องการกำลังใจ

หนังเรื่องนี้บอกผมว่า นึกถึงคนอื่นให้มาก
ผมตีความเองว่าเพราะนั่นเป็นหนทางสู่นิพพาน

รักคนอื่นได้มากกว่าตัวเองนั้น ไร้ตัวฉันสุดประเสริฐเลิกเกิดเอย
เลิกเกิดก็นิพพานครับ

ชวนให้เขียน Mission Statement ของคุณดูสิครับ
บางทีชีวิตคุณอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้

มีความสุขทุกคนครับ

Eternal Sunshine of the Spotless Mind

แน่ใจหรือว่าลืมได้

กำกับ : Michel Gondry
นำแสดง : Jim Carrey, Kate Winslet, Elijah Wood
ความยาว : ๑๐๘ นาที
ระดับความชอบ : ๙.๕/๑๐

แผ่นนี้ได้มาจากเวบแลกของ http://www.coolswop.com
ดารา นำน่าสนใจทั้งสามคน โดยเฉพาะดารานำชาย Jim Carrey ที่ผมไม่เคยดูหนังแนวนี้ของเขาเลย เคยดูแต่หนังตลกที่เล่นกับใบหน้า ที่ติดตาคือ The Mask หลังจากนั้นก็ตามแบบห่างๆ
ส่วนนางเอกในเวลานี้ไม่ต้องพูดถึง ขึ้นชั้นดาราเจ้าบทบาทไปแล้ว ปีที่แล้วกวาดสองเวทีใหญ่ซะงั้น
เจ้าหนุ่ม Wood ก็ใช่ย่อย แสดงดีมาตั้งแต่เด็ก

หนังเรื่องนี้ก็ยังไม่อยู่ในความสนใจมาก่อน แม้กระทั่งแลกมาแล้ว ก็ยังไม่อยู่ในคิวที่จะดูเลย
จนได้ iPhone ก็แปลงมาเก็บไว้ เป็นแบบพากษ์ไทยอีกต่างหาก ไม่ค่อยถูกจริตเท่าไหร่

แต่เนื้อเรื่องนี่สิ ทำให้อึ้ง คิดได้ไง
วิทยาการลบความทรงจำ โดยการทำลายสมองบางส่วน เหมือนกันเมาหนักๆ แล้วตื่นขึ้นมาก็จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ผม ว่าน่าจะมีแล้วนะวิทยาการนี้ แต่ยังไม่ออกมาใช้แบบแพร่หลาย ดูจากหนังเรื่องนี้รายละเอียดทำให้เชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้ เอาของที่เราคุ้นเคยและคิดถึงเรื่องราวต่างๆ มาให้ลองคิดถึงแล้วมาดูความเปลี่ยนแปลงของสมอง สุดท้ายก็ได้แผนที่ แล้วค่อยตามไปลบทีละจุด
เป็นไปได้นะเนี่ย

แต่ที่สำคัญกว่านั้น แน่ใจหรือว่าลืมแล้วคุณจะไม่กลับไปสัมผัสสิ่งเหล่านั้น จนจำมันกลับมาอีก
เพราะชีวิตคุณก็เหมือนเดิม บรรยากาศเดิม สุดท้ายก็มาพบเรื่องเดิมๆ คนเดิมๆ ซ้ำอีก แล้วคุณจะไม่ตัดสินใจแบบเดิมหรือ
หนังพยายามจะบอกว่า สุดท้ายก็ตัดสินใจแบบเดิม รับเรื่องเดิมๆ เข้ามาในความทรงจำอยู่ดี
หรือคุณว่าไง เห็นด้วยกับสิ่งที่หนังบอกไหม?

ไม่น่าเชื่อว่าพระเอกจะสลัดคราบดาวตลกไปได้ แม้จะมีคราบให้ตลกอยู่บ้าง แต่ก็น้อยเต็มที
นางเอกแสดงดีครับ
เจ้า หนุ่มน้อยก็แสบ สวมรอยพระเอกซะงั้น แต่ก็ไม่เหมือนกัน แม้คำพูดจะคำเดียวกัน ของชิ้นเดียวกัน แต่คนต่างกัน ไม่มีทางเหมือนกัน ดีไม่ดีทำให้เขาพาลคิดถึงเรื่องนั้นเร็วขึ้นอีก
คนเรามันจะไม่คู่กัน ยังไงก็ไม่ลงรอยกันหรอกครับ

นอกจากคู่พระเอกแล้ว คู่อื่นๆ ก็ย้ำว่า ถึงอย่างไรเรื่องราวก็จะเกิดซ้ำๆ ที่เดิมอยู่ดี

หาก เปรียบกับหลักศาสนาพุทธ ทุกคนจะมีสัญญาที่ให้เราเวียนมาเจอเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าเราจะสอบผ่าน เช่น เราเจอกับคนนี้แล้วจิตเกิด ใจกระเพื่อม เราจะเจอคนนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตจะเลิกเิกิด
ดังนั้นหากเราจิตเกิดกับเรื่องอะไร ก็เป็นการผูกกันไว้ รับรองมาเจออีกแน่นอน

เหมือน ในเรื่อง สุดท้ายพอฟังเรื่องราวที่สาธยายเหตุผลของการลบอีกฝ่ายหนึ่งจากความทรงจำ ทำให้เห็นเนื้อแท้ เห็นข้อจะปรับปรุง สุดท้ายหากยังรักกันก็จะแก้ไขเพื่อให้เข้าหากันได้มากที่สุด เกิดจุดเปลี่ยนแปลง แล้วเขาและเธอก็เข้ากันได้ แม้จะไม่ได้รับประกันว่าจะแก้ได้หมด แต่ได้ถอยออกมาคิด เห็นกันและกัน
สุดยอดครับ

หากใครมีปัญหากับคู่ชีวิต ลองเอาหนังเรื่องนี้ไปดูครับ อาจได้แง่คิดดีๆ ก็ได้

Nobody is perfect. คำนี้จริงแท้เสมอ แค่ว่าเราจะรับเรื่องเหล่านั้นได้มากน้อยขนาดไหนเท่านั้นเอง
สิ่งหนึ่งที่จะประคองชีวิตคู่ไว้ได้คือ ความรัก ครับ
ยอมถอย เข้าใจ ให้อภัย หากเรายังรักกันอยู่
แล้วทุกอย่างจะคลี่คลายไปได้เอง

มีความสุขทุกคนครับ

textarea{width:440;height:340;background:url(”http://www.bloggang.com/data/a/amp-atom/picture/1264525672.jpg”);font-size:16pt;color:#ffffff;

The Hurt Locker

อาชีพที่แย่ที่สุดในโลก

กำกับ : Kathryn Bigelow
นำแสดง : Jeremy Renner, Anthony Mackie
ความยาว : 131 นาที
ระดับความชอบ : 8/10

หนัง เรื่องนี้ได้ยินครั้งแรกจากลูกสาวคนโตที่มาบอกว่ามีหนังเรื่องหนึ่งเข้ารอบ ตั้ง 9 รางวัล เลยตามหาดู เป็นเรื่องนี้แหละครับ รางวัลเยอะจริงๆ ล่าสุดก็ ได้ BAFTA ออสการ์แห่งเกาะอังกฤษไปครอง

เป็นหนังของผู้กำกับหญิงที่ ทำหนัง Action มาโดยตลอด ที่สำคัญเธอเป็นอดีตภรรยาของผู้กำกับ เรื่อง Avatar, James Cameron ดังนั้นปีนี้บนเวทีรางวัลจึงเป็นการแข่งขันข่งอดีตสามีภรรยาคู่นี้
ส่วน ใหญ่ฝ่ายภรรยาจะชนะครับ ต้องคอยดูบนเวทีออสการ์กัน เข้าไปดู ใน www.rottentomato.com แทบจะยกออสการ์ให้เลยครับ นักวิจารณ์ชอบกันมากเลย

โดย ส่วนตัวไม่ชอบหนังแนวสงคราม หนังเรื่องนี้จึงไม่ถูกใจนัก แต่สิ่งที่สัมผัส ได้จากหนังเรื่องนี้คือเป็นอาชีพที่ไม่น่าทำเลยครับ กู้ระเบิดในอิรัก น่าจะ หลังจากสงครามนะ
สิ่งแวดล้อมเต็มไปด้วยผู้ไม่เป็นมิตร ไม่รู้จะโดนยิง หรือโดนระเบิดเมื่อไหร่ ใบปะหนังที่มีลูกระเบิดรอบตัว คงบอกสภาพได้ดี ห้าม พลาด เพราะไม่ได้หมายถึงเขาตายคนเดียว คนในระยะระเบิดก็โดนหมด อันตรายจริงๆ

หนังเดินเรื่องสนุก ไม่ยืดยาด น่าติดตาม
ดนตรีประกอบก็เร้าอารมณ์ได้ดีทีเดียว
สมแล้วกับหลายรางวัลที่ได้มา หนังสมจริงมาก

ว่ากันว่าหนังเรื่องนี้ทำยากมาก ตั้งแต่สถานที่ถ่ายที่ต้องใช้ประเทศจอร์แดนถ่าย อากาศที่ร้อนระอุจนตากล้องไม่สบาย
แต่หญิงเหล็กของเราก็ทำออกมาได้เป็นอย่างดี

เหมือนทุกครั้ง เกลียดสงครามครับ ไม่ชอบเลยที่คนต้องมาฆ่ากัน
บรรยากาศของหนังเรื่องนี้ก็บอกชัดเจน สงครามไม่เคยให้อะไรใคร ดังนั้นอย่าคิดทำสงครามเลยครับ
อาชีพกู้ระเบิดที่แสนลำเค็ญก็มาจากสงครามนี่แหละครับ

อย่าทะเลาะกันเลยครับ ทำให้เกิดสงครามเปล่าๆ ชีวิตเราก็ใช่จะยาวนัก ทำอะไรดีๆ ต่อกัน และดีต่อโลกกันดีกว่า
จะได้ไม่ต้องถึงภาวะคับขันของนักกู้ระเบิดที่เรียก The Hurt Locker

รักกันมากๆ นะครับ ชีวิตเราใช่จะยาวนัก

มีความสุขทุกคนครับ

Avatar

อย่ารอจนต้องไปรุกรานคนอื่นเลยครับ

กำกับ/เขียนบท : James Cameron
นำแสดง : Sam Worthington, Zoe Saldana, Sigourney Weaver, Michelle Rodriguez
ความยาว : ๑๖๒ นาที
ระดับความชอบ : ๑๐/๑๐ (หนังในดวงใจ เลยครับเรื่องนี้)

They killed their mother เป็นประโยคแทงใจมากครับจากหนังเรื่องนี้

ในครั้งแรกไม่ได้อยากดูหนังเรื่องนี้เลย เพราะคาดว่าจะเป็นหนัง Action Sci-Fi เป็นแนวที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่

จนพี่ที่ทำงานมาบอกว่าไปดูมา เป็นสามมิติ หนังยาวแต่ไม่เบื่อเลย
ใน Blog บางที่บอกว่าให้แนวคิดเทียบชั้น The Matrix เลยทีเดียว
สุดท้ายได้ข่าวว่าได้ลูกโลกทองคำอีก

แต่ เหตุผลหลักที่ทำให้ไปดูหนังเรื่องนี้ คือ ประสบการณ์จากหนังการ์ตูนเรื่อง Up ที่หลายคนชื่นชมตอนดูในโรงภาพยนตร์แบบสามมิติ แต่ผมไปดูด้วยแผ่นแล้วเฉยๆ เลยคิดว่าการดูเป็นสามมิติน่าจะมีผลในการสร้างความประทับใจไม่มากก็น้อย

สุดท้ายก็ไปดูแบบสามมิติที่ Esplanade รัชดาฯ
ตื่นตาตื่นใจกับภาพสามมิติที่เห็น
แต่ที่น่าสนใจและถูกใจมากกว่า คือ เนื้อเรื่อง แม้จะไม่ซับซ้อน พอเดาออก แต่ผมว่าตรงประเด็นดี
ใน เมื่อเราจะไปใช้โลกของเขาก็มีสองทางเลือก ไปขอแบ่งจากเจ้าของเดิม หรือไม่ก็แย่งยึดเอา โดยมักอ้างเรื่องอารยธรรม แล้วก็ดำเนินชีวิตทำลายล้างเหมือนเดิม จากนั้นก็เสาะหาโลกใหม่ไปเรื่อยๆ

ดูแล้วอยากให้เทพเอวามีอยู่บนโลกใบนี้บ้างจัง จะได้ขอพรให้โลกนี้อยู่นานๆ ต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายได้บ้าง

มนุษย์ มักจะใช้ชีวิตตามแนวทางที่ตนถนัด มักคิดว่าตัวเองดี คนอื่นด้อยหมด มักคิดว่าเราสามารถศึกษาสิ่งต่างๆ ด้วยการเก็บตัวอย่างมาทดสอบ ธาตุแท้ของคนเหล่านี้แสดงให้เห็นตลอดเรื่อง
ส่วนชาว Navi จะเป็นคนยุคเก่าที่ยังสัมพันธ์กับธรรมชาติ ให้เกียรติธรรมชาติ และที่เด่นกว่ามนุษย์โลกคือสามารถสร้าง Bonding กับธรรมชาติรอบตัวได้ คนสมัยนี้ก็พยายามฝึกอยู่ครับ การสร้าง Bonding กับสิ่งต่างๆ
มนุษย์ เป็นสัตว์โลกที่มีความสามารถในเรื่องนี้น้อยทีสุด เรามักจะไม่สามารถรู้จากสิ่งที่ธรรมชาติพยายามบอกเราเลย แถมยังทำลายธรรมชาติกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

เคยมีคนถามผมว่า เชื่อเรื่องน้ำท่วมโลกไหม? ผมเชื่อครับ เพราะข้อมูลต่างๆ ก็บอกเรามาตลอด ดังนั้นหากมีโอกาสก็หาทางหนีทีไล่ไว้บ้างก็ดีนะครับ เช่น หาที่ดินที่สูงๆ ที่คิดว่ารอดในวันนั้นไว้บ้าง หรือ หากัลยาณมิตรที่จะบอกหรือเตือนภัยในวันนั้นไว้บ้างก็ดีครับ

แต่จะดีที่สุดต้องช่วยให้โลกนี้ล่มสลายให้ช้าที่สุดครับ
ขั้นแรก ต้องตั้งใจว่าจะช่วยโลกเราแล้ว คิดว่าโลกนี้คือมารดาของเรานะครับ
ขั้นที่สอง คิดว่าจะทำอย่างไรจะลดการสร้าง CO2 จากกิจกรรมที่เราทำได้บ้าง ผมมีโครงการ ๑๐:๑๐ มาแนะนำครับ นั่นคือตั้งใจลดการผลิต CO2 จากตัวเราลง ๑๐% ภายในปี ค.ศ.๒๐๑๐ ลองกดเข้าไปใน Link นี้นะครับ http://sibsibcampaign.wordpress.com
ขั้นที่สาม ลองคำนวณ CO2 ที่เราผลิตในปัจจุบัน จากเวบนี้นะครับ http://thaicfcalculator.tgo.or.th/index.html
ตอนใส่ข้อมูลอาจต้องใช้เวลาซักนิดนะครับ รู้สึกว่าจะต้องลงทะเบียนก่อนด้วยนะครับ
ขั้นที่สี่ หาทางลดลงให้ได้ตามเป้าหมาย และทำอย่างจริงจัง แล้วลองวัดผลเป็นระยะๆ

อย่าคิดว่าการผลิต CO2 เป็นเรื่องของคนอื่นนะครับ เริ่มที่ตัวเรา

อย่างน้อยเราก็ได้แสดงความกตัญญูต่อมารดาของเราอย่างเต็มความสามารถแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
อย่างน้อยเราได้ทำเพื่อคนรุ่นหลังรวมถึงลูกหลานของเราอย่างเต็มที่แล้ว

อย่ารอจนต้องไปรุกรานคนอื่นเลย หนังเรื่องนี้สอนผมอย่างนี้ครับ

มีความสุขทุกคนครับ

Link ที่เกี่ยวของ : ดร.วรภัท ร์ อาจารย์ของผม ท่านเขียนถึงเรื่องนี้ไว้ในแนว KM LO ลองคลิ๊กเข้าไปอ่านดูนะครับ จะได้รู้ว่า คำว่า I see you คืออะไร ทำไมคุ้นๆ คำนี้ เป็นคำในวงการนี่เอง ผู้กำกับท่านนี้เก่งจริงๆ

Seven Pounds

๗ วินาทีของความประมาท

กำกับ : Gabriele Muccino
นำแสดง : Will Smith
ความยาว : ๑๒๓ นาที
ระดับความชอบ : ๙.๒๕/๑๐

แผ่นนี้ได้มาจากญาติผู้พี่ ส่งมาให้โดยบอกมาว่าน่าจะชอบ
เก็บ ไว้นานเลย ไม่ได้ดูหนังมานาน ช่วงนี้มัวแต่จัดแจงเรื่องการย้ายคอนโด วันนี้เลยเอาเสียหน่อย เหลือบดูความยาวของหนัง ร่วมสองชั่วโมงเลย

หนังมีบทพูดเยอะมาก ทำให้ต้องตั้งใจดู ไม่งั้นหลุด
ผู้กำกับคนนี้เป็นชาวอิตาลี กำกับหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ ๒ ใน Hollywood เรื่องแรกก็คือ The pursuit of happyness ก็ร่วมกับ Will Smith อีกเหมือนกันสำหรับเรื่องนั้น แผ่นที่ได้มามี Comment ของผู้กำกับให้ฟังด้วย ทำให้ทราบแนวคิดในเรื่องได้มากขึ้นครับ
ยังคาใจชื่อหนัง มันสื่ออะไรครับ เหมือนกับเรื่องก่อนที่เขียน Happyness ผิดอย่างจงใจ

เปิดตัวหนังคือฉากจบของเรื่อง แล้วค่อยเล่าเรื่องย้อนหลังในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นลำดับ ไม่ได้ตัดสลับไปมาเหมือน 21 Grams

คำน่าคิดอยู่ตอนต้นเรื่องครับ
“พระเจ้าสร้างโลกภายใน ๗ วัน แต่ผมทำลายมันใน ๗ วินาที”
๗ วินาทีแห่งความประมาท ทำลายทุกอย่าง
หนังบอกผมว่า อย่าประมาทโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญ เช่น การขับรถ
ย้อน กลับมาดูตัวเรา บางครั้งก็ชอบเอาโทรศัพท์มาดู Massage เหมือนกันนะ คิดแล้วก็ยังเสียว ต้องงดนะ หายใจลึก ให้คิดว่า การขับรถครั้งนี้สำคัญที่สุด ต้องทำให้ดีที่สุด เพราะเกี่ยวเนื่องกับคนมากมาย ซึ่งล้วนแต่รักเราทั้งนั้น

แต่พระเอกก็ไม่โชคดีจากการประมาท อุบัติเหตุครั้งนั้นกระทบคน ๗ คน รวมทั้งภรรยาสุดที่รัก

พระเอกพยายามไถ่บาป ปลดล็อคหัวใจ โดยการให้กับคน ๗ คน ทั้งที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น คนรอบข้าง และคนดีทั่วไป

สุดท้ายก็สละชีวิตเพื่อมอบอวัยวะ
ซึ่งผมไม่เห็นด้วยเลยครับวิธีนี้

ผม มักพูดเสมอว่าฝรั่งไม่เก่งในการลืม พุทธศาสนาสอนเรื่องนี้เป็นมั่นเป็นเหมาะ เราเกิดดับทุกวินาที เจ้าคนที่ประมาทนั้นดับไปนานแล้ว พระเอกยังเอามาวนเวียนคิด จนออกมาเป็นการตอบแทน ไถ่บาป อย่างที่เห็น
ถ้าพระเอกได้มาเจอหลวงปู่ หลวงพ่อ บ้านเรา อาจคลิ๊ก บรรลุธรรมก็ได้
คนเราบางครั้งต้องมีจุดเปลี่ยนครับ ถึงจะพบทางสว่าง ทางสายเอก
แต่ ไม่ต้องรอจนเจอจุดเปลี่ยนแรงๆ เหมือนตัวเอกนะครับ เอาแรงปรารถนาที่มีที่จะเจอสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต ลองเข้าปฏิบัติธรรมสักครั้ง ๔ วัน ๗ วัน หรือ ๑๐ วัน แล้วคุณจะพบว่าความหมายของชีวิตคืออะไร ผมขอท้าทายครับ

ในเรื่องการแสดงหายห่วง เล่นดีทุกคน เพลงประกอบไม่เด่นมากมาย

จุด อ่อนของหนังเรื่องนี้คือความเกินจริง และดูจงใจยังไงไม่รู้ ทำไมพระเอกบริจาคอวัยวะต่างๆ ได้มากมาย จะใช้งานกับคนที่ได้รับได้หมดเชียวหรือ แล้วเจ้าแมงกระพรุนนั่นมันฆ่าคนได้เชียวหรือ

แต่จุดติก็ไม่ได้ทำให้สื่อสารสิ่งที่ต้องการลดลงเลย ยังมั่นคง

ในเรื่องมีเลข ๗ ประปราย ลองค้นหาดูครับ

กว่าจะเกิดมาเป็นคนยากมาก ดังนั้นต้องใช้ชีวิตอย่าประมาท เพราะผลพวงจากการประมาทตามมามากมาย หากพลาดไปแล้วต้องลืมให้ได้ครับ

ทำตนตรงวินาทีนี้ให้ดีที่สุด

มีความสุขทุกคนครับ